วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

3 เคล็ดลับ บนโลกดิจิตอลของไนกี้

 
ไอเดีย บนโลกดิจิตัล ของไนกี้

RG เป็นดิจิตัล เอเยนซี่ชั้นนำของโลก ที่ทำงานให้กับแบรนด์ดังอย่างไนกี้มาเป็น
เวลานาน บนเวทีคานนส์ Bob Greenberg ผู้ที่ดำรงตำแหน่ง Chairman/ CEO/ Chief Creative Officer ของ RGA ได้เชิญตัวแทนลูกค้า Stefan Olander, Global Director for brand Connection-Nike 

     พูดถึง 3 เคสดัง พร้อมบอกปัจจัยแบบอินไซต์ที่ทำให้แคมเปญนั้น ประสบความสำเร็จ
Bob เริ่มต้นโดยการแนะนำธุรกิจของ "ไนกี้" ให้เรารู้จักอย่างท่องแท้ หลายคนอาจมองว่า
ไนกี้คือ แบรนด์เสื้อผ้าหรืออุปกรณ์กีฬเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว Bob คิดว่าไนกี้ขาย Application และ Technolog ด้วยโดยยกแอพพลิเคชั่นที่มากับแคมเปญไนกี้พลัส(NIKE+) ที่ไนกี้จับมือกับไอพ็อดเป็นตัวอย่าง เพื่อชี้ให้เห็นว่าไนกี้ใช้เทคโนโลยีผสานกับสินค้าหลัก จนก่อให้เกิดสินค้าหรือ
บริการใหม่ๆ ได้ออกนอนกรอบแค่ความเป็นแบรนด์เสื้อผ้า ปัจจุบันมีผู้ร่วมวิ่งกับ ไนกี้ พลัสมากถึง 99 ล้านกิโลเมต นับตั้งแต่เริ่มแคมเปญนี้เมื่อ 2 ปีก่อน


     ต่อจากนั้น Bob ตีโจทย์งานดิจิตัล มาร์เก็ตติ้งของไนกี้ด้วยการย้อนกลับไปมองที่ brand
Statement วา"Nike Spinit ถูกสะท้อนออกมาด้วยคำว่า Just Do IT ซึ่งนันเป็น brand Statement ที่ทุกคนคาดหวังว่จะได้รับแรงบันดาลใจด้วยข้อความนี้ ดังนั้น ไนกี้จึงหยุดไม่ได้ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คน"

    จากแนวคิด ได้กลายเป็นแคมปญการตลาดที่ Stefan เล่าว่า มันเป็นแคมเปญดิจตัล 
แต่ความจริงแล้วต้องให้เครดิตกับส่วนที่เป็นไอเดียมากกว่าเทคโนลียี

    จากแนวคิด ได้กลายเป็นแคมเปญการตลาดที่ Stefan เล่าว่า มันเป็นแคมเปญดิจตัล แต่ความจริงแล้วต้องให้เครดิตกับส่วนที่เป็นไอเดียมากกว่าเทคโนลียีแคมเปญแรก คือ
ไนกี้ไอดี จุดเริ่มต้นของ "ไนกี้ไอดี" มาจากงานดีไซน์ โดยไนกี้เล็งเห็นว่า

    การออกแบบรองเท้าไม่ใช่แค่การเลือกรองเท้าใส่เท่นั้น แต่สีและรูปแบบที่ออกมาได้สะท้อนความต้องการในชีวิตของแต่ละคนด้วย และเมื่อออกแบบเสร็จก็ใส่ชื่อลงบนรองเท้าได้ด้วย ทำให้ไนกี้มีรองเท้ามากกว่าหมื่นแบบ ดีไชน์เนอร์ของไนกี้ก็ได้ไอเดียใหม่ๆ ไปด้วย 

   แคมเปญนี้เดิมเริ่มขึ้นที่ช็อปสาขานิวยอร์ค แล้วต่อมาก็ที่ลอนดอน จนกระทั่งใช้เว็บไซต์จึงเข้าถึงคนอีกจำนวนมาก 

     แคมเปญที่สอง Ballers Networ ใช้ความสัมพันธ์บนโลกไซเบอร์ที่เรียกว่า Social
Networking เป็นตัวขับเคลื่อน ไนกี้เข้าไปสร้างแอพพลิดชั่นในเว็บไซต์ Facebook ชักชวนให้เด็กหันมาเล่นบาสเก็ตบอล โดยใช้เฟซบุ๊คสร้างเกมส์ออนไลน์อย่างง่ายๆ พร้อมทั้งนัดให้เด็กๆ ไปเล่นบาสเก็ตบอลที่สนามใกล้บ้าน  ที่รู้จักกันผ่านเฟซบุ๊คก็จะไปเล่นที่สนามเดียวกัน บางครั้งเมื่อไนกี้มีกิจกรรมพิเศษเด็กหล่านี้ก็จะมาตามเวลาที่ไนกี้นัด ผลพลอยได้ที่ตามมาก็คือ ไนกี้ได้ Ballers
Network Beta รับทราบโปรไฟล์ของคนเข้ามาเล่นเกมของไนกี้เป็นตัวขับเคลื่อน 
ไนกี้เข้าไปสร้างแอพพลิเคชั่น

     แคมเปญสุดท้าย HumanRace 10K ที่ถือว่าเป็นภาคต่อของ NIKE+ ไนกี้เชิญชวนนักวิ่งทั้งหลายให้ร่วมวิ่งพร้อมกันในวันเดียวกันทั่วโลกรวมแล้วมากกว่า 10 ล้านคน แคมเปญนี้เป็นผลมาจากการสำรวจพบว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ชื่นชอบการวิ่งพร้อมๆ กับฟังเพลง ไนกี้จะหาวิธีดึงดูดคนให้วิ่งด้วยวิธีอื่น คราวนี้ใช้เหตุผลมาตัวกระตุ้น  ให้คนมาวิ่งแบบมีวัตถุประสงค์ (Run for a Cause)

      เช่น วิ่งเพื่อเมือง/ วิ่งเพื่อโครงการต่างๆ และในเว็บไซต์ก็จะมีทีม,กลุ่มที่ตั้งขึ้นเพื่อจุดประสงค์เฉพาะ ใครที่อยากวิ่งให้กับทีม
ไหนก็เข้าไปลงชื่อ นัดสถานที่ได้ผ่าน
เว็บไซต์ สำหรับแคมเปญนี้คงต้องรอดูผลตอบรับว่าจะสร้างทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ได้อีกหรือไม่

     Bob สรุปว่านี่เป็นยุคที่ดิจิตัล จากประสบการณ์ทั้งหมดจะเห็นได้ว่าดิจิตัลช่วยให้แบรนด์ทำแคมเปญต่อเนื่องระยะยาวได้ ดีด้วยการสื่อสารรูปแบบธรรมดาซึ่งได้ผลระยะสั้นเท่านั้น 

ส่วน stefan ก็ระบุว่ทั้งสามแคมเปญที่ใช้
ดิจิตัลเป็นสื่อกลาง ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยี แต่มาจากตัวตนของแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ของผู้ก่อกำเนิดแรงบันดาลใจ แล้วใช้สื่อ
ดิจิตัลเป็นเครื่องมือเชื่อมคนหมู่มากในทุกพื้นที่ให้มีส่วนร่วมแบบเดียวกันมากกว่าขณะที่สื่อหรือวิธีการแบบดั้งเดิม ก็ยังคงมีความสำคัญไม่แพ้กัน ดังเช่นเมื่อมีผู้ถามว่าจะทราบจำนวนผู้มาร่วมวิ่งกับแคมเปญครบล้านคน
หรือไม่ อย่างไ stefa ก็ตอบว่า"นอกจากข้อมูลในเว็บไซต์แล้ว เรื่องนี้คงต้องอาศัยรีเทล ช็อปของไนกี้ที่มีอยู่ทั่วโลกช่วย"


ที่มา : http:/ wmw.marketeer. co.th/result _mktm _new.php?inside_id=6436&param=brand

วอเร็นบัฟเฟตต์ เมื่อหลงใหลก็ทำเลย

ชีพที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน :เมื่อหลงใหล ก็ลงมือทำเลย

   วอเร็น บัฟเฟตต์ เริ่มต้นทำงานเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ ที่บริษัท บัฟเฟตต์ แอนด์ ฟอลค์ ที่คุณพ่อของเขาเป็นหุ้นส่วน และเริ่มสอนหนังสือภาคค่ำในวิชาหลักการลงทุนของมหาวิทยาลัยโมฮา เมื่ออายุเพียง 21 ปี ในปี
1952 เขาแต่งงานกับซู ท่อมปีสน เพื่อนร่วมห้องในมหาวิทยาลัยของน้องสาวของเขา ว่ากันว่าระหว่างไปฮันนีมูน เขายังนำหนังสือการวิเคราะห์หลักทรัพย์ของ เบนจามิน เกรแฮม ไปอ่านด้วย

     ในปี 1954 เบนจามิน เกรแฮมได้โทรศัพท์ไปหาวอเร็นและชวนเขากลับมาทำงานในฐานะหุ้นส่วนของบริษัท เกรแฮม นิวแมน ที่นิวยอร์ค มีรายได้ 12,000 ดอลลาร์ต่อปื ในช่วง 2 ปีที่เขาได้อยู่กับบริษัทนี้ ขาได้ฝึกฝนตัวเองอย่างหนักจนพร้อมที่จะออกไปจัดตั้งธุร
กิจหุ้นส่วนการลงทุนของตนเองในบ้านเกิด ซึ่งเวลานั้นมาถึง
    เมื่อวอเร็นอายุ 26 ปี เกรแฮมถอนหุ้นส่วนออก วอเร็นจึกลับไปที่โอมาฮาเขาเริ่มลงทุนด้วยงินของตนเอง 100 ดอลลาร์ และอีก 105,000 ดอลลาร์ จากครอบครัวและเพื่อนๆ เขาเริ่มลงทุนโดยทำงานอยู่กับบ้าน ไม่มีสำนักงาน ไม่มีเลขานุการ ตลอด 13 ปี นับจากนั้นกองทุนบัฟเฟตต์ทำกำไรโดยไม่เคยลดลงเลยโดยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 29.5%   

กองทุนบัฟเฟตต์ :เมื่อโอกาสมาถึง แสดงฝีมือออกมาให้เต็มที่

      หลังจากจัดตั้งกองทุนเล็กๆ ด้วยเงินเริ่มตัน 105,000 ดอลลาร์ในปี 1956 นั้น วอเร็นก็ได้ความรู้และประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หุ้นทุกตัวที่เขาลงทุนในการอ่านเอกสารสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับธุรกิจนั้นอย่างละเอียดเรียกว่าเขาทำวิจัยอย่างรอบคอบเพื่อคันหาของดีราคาถูก อย่างไรก็ตาม วอเร็น ก็มักจะไม่ลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเกินกว่า 10% ของความมั่งคั่งของเขา เพื่อกระจายความเสี่ยง

      แนวคิดนี้ถูกยึดถือมาตลอด โดยในช่วงเริ่มตัน เขาได้ซื้อบ้านหลังใหม่ใน 1957 เมื่อภรรยคลอดบุตรคนที่ 3 เพื่อขยับขยายครอบ
ครั้วบ้านที่เขาซื้อและอยู่จนถึปัจจุบันมีราคาในขณะนั้น 31,500 ดอลลาร์ หรือประมาณ 100 ของความมั่งคั่งของวอเร็นในตอนนั้น ซึ่งแนวคิดนี้ต่างจากคนทั่วไป

      ซึ่งใช้เงินเก็บของตนเองเกือบทั้งหมดไปดาวน์บ้านประมาณ 20% ของราคาบ้าน
และเป็นหนี้ระยะยาวที่ต้องผ่อนในยอดเงินต้นอีก 80% เป็นเวลา 30 ปี แนวคิดนี้ของวอเร็นไม่เหมือนคนอื่นตรงที่หาเงินมาให้ได้ครบก่อน จึงค่อยมีบ้าน เขาจะไม่กู้เลยและการซื้อบ้านก็ใช้เงินแค่ 10% ของที่มีทั้งหมด ทำให้ชีวิตมีส่วนเหลือของความปลอดภัยอยู่อีกมาก ภาษาลงทุนเรียกว่า "ส่วนเผื่อความปลอดภัย"
(Margin of Safety)

       การทำเช่นนี้ได้บ่งบอกว่าวอเร็นมีปรัชญาการประหยัดเป็นหลักด้วยในปี 1962 วอเร็นมีอายุ 32 ปี กองทุนของเขาที่เริ่มต้นด้วยเงิน 105,000 ดอลลาร์ ติบโตเป็น 7.2 ล้านดอลลาร์ ในตอนนั้นเขามีสำนักงานแล้วห่างจากที่พักออกไปเพียง 20 ช่วงตึกเท่านั้น 

     เขาได้บรรลุเป้าหมายการเป็นเศรษฐีเงินล้านเมื่ออายุ 30 ปี ตามที่ได้ตั้งปนิทานเอาไว้ตั้งแต่อายุ 13 ปีแล้ว ในการบริหารกิจการหุ้นส่วนลงทุนนั้น วอเร็น บัฟเฟตต์ รับประกันผลตอบแทนให้หุ้นส่วนปีละ 6% โดยที่เขาจะได้รับส่วนแบ่ง 25% ของส่วนที่เกิน 6% นั้น

บริษัทเบิร์คไชร์ ฮาราเวย์ธุรกิจลงทุนแบบมืออาชีพของ วอเร็น บัฟเฟตต์

      ช่วงตันทศวรรษ 1 960 วอเร็น บัฟเฟตต์ได้คันพบบริษัท เบิร์คไชร์ ฮาราเวยซึ่งเป็นบริษัทสิ่งทอที่ตั้งอยู่ที่เมืองนิเบคฟอร์ด รัฐแมสชาชูเซตส์ ขณะนั้นเขายังทำธุรกิจหุ้นส่วนลงทุนอยู่ โดยแผนการวิเคราะห์อย่างละเอียดรอบคอบ

      เขาเริ่มซื้อหุ้นนี้ในรดา 7 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในขณะที่มูลค่าบัญชีเท่ากับ 17  ดอลลาร์ต่อหุ้น และหนี้สินของบริษัทมีน้อยมาก ในปี 1963 กองทุนของ วอเร็น บัฟเฟตต์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทแห่งนี้ วอเร็นค้นหาหุ้นตามสไตล์ของเขาเข้าพอร์ตโฟลิโอหุ้นสามัญของกองทุนอย่างต่อเนื่อง หุ้นของ GEICO และ DISNEY เป็นอีกบางตัวอย่างของหุ้นเน้นคุณค่ที่เขาไปวิเคราะห์และเลือก
เข้ามาในพอร์ต

     ในปี 1969 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อ วอเร็น บัฟเฟตต์ ปิดกองทุนเดิมจากธุรกิจหุ้นส่วนลงทุน โดยขายหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่ในพอร์ต จำนวน 100 ล้านดอลลาร์ ยกเว้นแต่หุ้นของเบิร์ไซฯ ที่ตกป็นของวอเร็น อยู่ที่ 25 ล้านดอลลาร์ ทำให้เขาถือหุ้นในเบิร์กไซร์ฯ ได้เกือบครึ่งหนึ่งขณะนั้นตัวเข้าอายุได้ 39 ปี และเบิร์กไซรฮาราเวย์ก็กลายเป็นครื่องจักร
ที่สร้างผลตอบแทนให้แก่วอเร็นและผู้ถือหุ้น
คนอื่นๆ ได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

      แม้ว่าในขณะนั้น เบิร์คไช ฮราวย์ จะยังคงดำเนินธุรกิจสิ่งทอต่อไปแต่กำไรจากธุรกิจสิ่งทอในปี 1969 มีเพียง 45,000 ดอลลาร์ ในขณะที่กำไรจากการลงทุนด้วยฝีมือของ
วอเร็นทำได้ถึง 4.7 ล้านดอลลาร์ หรือสูงกว่า 10 เท่าตัววอเร็นใช้กลยุทธ์ซื้อของดีราคาถูก และขายออกไปเมื่อมีกำไร และนำเงินที่ได้
ไปซื้อกิจการอื่นต่อไปอีก ซึ่งแนวทางการสร้างวงจรในการสร้างความมั่นคงแบบ
ไม่รู้จบ 

     พ้นปี 1985 วอเร็นปิดโรงงานผลิตสิ่งทอ ซึ่งเป็นธุรกิจดั่งเดิมของ เบิร์กไซร์ฮาราเวย์ เนื่องจากแรงงานต่างชาติมีราคาถูกกว่าและมีคู่แข่งจากต่างชาติเข้ามามากขึ้น แต่หน่วยธุรกิจด้านการลงทุนยังคงอยู่ต่อไป


        การลงทุนแบบเน้นคุณค่าของ วอเร็น บัฟเฟตต์ในปี 1988 พอร์ตโฟลิโอของ เบิร์คไซร์ฯ แสดงให้เห็นว่าวอเร็นเป็นเจ้าของ
ธุรกิหลากหลาย หุ้นบางตัวสัมพันธ์กับช่วงชีวิตตั้งแต่วัยเด็กของเขา เช่น บริษัท
โคคา-โคล่า, บริษัท เดอะวอชิงตันโพสต์, บริษัท GEICO เป็นต้น หุ้นเหล่านี้และ
หุ้นต่างๆ ที่เขาเลือกล้วนแต่เป็นหุ้นที่มีคุณค่า ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป บางตัวก็ยังคงอยู่ บางตัวก็ไม่ใช่หุ้นคุณค่าอีกต่อไป ซึ่งวอเร็นทำการตรวจสอบตลอดเวลาและปรับพอร์ตซื้อเพิ่ม หรือขายออกตามความเหมาะสม

      การลงทุนของวอเร็นในเบิร์กไซร์  ผ่านช่วงวัฏจักรเศรษฐกิจทั้งดีทั้งร้ายมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งเป็นบททดสอบที่ดีพอสมควร โดยราคาหุ้นของเบิร์กไซร์ฯ จากปี 1962-1998 


      ถ้าดูเวลาที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ลงทุนผ่านมาครึ่งศตวรรษ (1956-2007)ตอนที่เขาบริหารกองทุนบัฟเฟตต์ ผลตอบแทนได้รับถึง 29.55% ต่อปืตลอดช่วง 13 ปี และผลตอบแทนของเบิร์กไซร์ฯ เฉลี่ยที่ 22.6% ต่อปี ตลอด 38 ปี
ที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนของดัชนี S&p 500 ที่ปรับตัวเพิ่มเพียง 11%
ในช่วงเวลาดังกล่าว
บทความ: ASAWINLHAOSRI
28-07-2020

ขอบคุณที่มา : หนังสือตามรอยวิถีเซียนลงทุน

สูตรลับสร้างแบรนด์ดัง

สูตรลับ...สร้างแบรนด์ดัง 
โดย เกษม พิพัฒน์เสรีธรรม

ที่มา : http:/wnw.marketeer. co.th/inside_detail.,php?inside_id=2718

      ในคราวนี้จะเผยเคล็ดลับการสร้างแบรนด์ของลิเคียวร์ (Liqueนr) หรือเหล้าหวาน 2 ตัว
ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวของผมแล้วจัดเป็นเหล้าที่มีศิลปในการผลิตมากและส่วนใหญ่เน้นที่สูตรเร้นลับของการผลิตก่อนจะเล่าเรื่องเมาของเหล้าลิคียวร์ขอทบทวนความเข้าใจในเรื่องการสร้างแบรนด์กันก่อน ซึ่งต้องเข้าใจความแตกต่างของ "Brand Image" "Brand Identity" และ Brand Position"

Brand Image : ภาพลักษณ์ของแบรนด์ คือ ภาพของแบรนด์ในใจลูกค้า / ผู้บริโภค

Brand Identity : เอกลักษณ์ของแบรนด์ คือ ภาพของแบรนด์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นในใจ
ลูกค้า / ผู้บริโภค

Brand Position : ตำแหน่งของแบรนด์ คือเอกลักษณ์ของแบรนด์และคุณค่าที่นำเสนอ
และสื่อสารกับลูกค้า / ผู้บริโภค

เหล้าลิเคียวที่ผมจะเล่าถึงลยุทธ์การสร้างแบรนด์ 2 ตัวนี้ใช้หลักคุณสมบัติทางกายภาพ
(Product Attribute) มาสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity)เพื่อเป็นการปูพื้นความเข้าใจของท่านผู้อ่านคงต้องให้คำจำกัดความของเหล้าก่อนลิเคียวร์ คือ ครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำจากการผสมหรือกลั่นเหล้าต่างๆ เช่น บรันดี วิสกี้ รัม ยิน
กับเครื่องปรุงแต่งรสชาติกลิ่น สีต่งๆ ซึ่งอาจจะเป็น ผลไม้ สมุนไพร นม กาแฟ ฯลฯ สุดแต่ความพิเรนและสร้างสรรค์ของผู้ผลิต เช่นเมื่อหลายปีก่อนมีเหล้าหวานที่ทำจากขิง ซึ่งผลิตโดยบริษัทฝรั่งในประเทศจีน แล้วก็เลือกที่จะสร้าง Brand Identity จากสรรพคุณของขิง โดยอ้างสรรพคุณของขิงที่ช่วยเสริมพลังรักของพระนางซูสีไทเฮา......จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้?? แต่รูปแบบของขวดและการโฆษณาประชาสัมพันธ์ช่วยสร้างตำแหน่งของแบรนด์ (Brand Position) ให้รู้สึกว่าเจ้าเหล้าตัวนี้คงมีสรพคุณขนาดพี่ของไวอากร้าที่เดียว !!!

ลิเคียวรนี้ทางอเมริกาจะเรียกว่า "คอร์เดียล์" (Cordial) ข้อแตกต่างของเหล้าหวานจากสุราประเภทอื่นๆคือต้องมีน้ำตาลอย่างน้อย 2.5% โดยน้ำหนัก น้ำตาลนี้อาจจะได้จากผลไม้ น้ำผึ้งฯลฯเอาละครับคราวนี้ผมจะเล่าตำนานและเคล็ดลับการสร้างแบรนด์เหล้าลิเคียวรตัวดังของโลกพอหอมปากหอมคอ (มากำลังดี)สัก 2 ตัว ตัวแรกคือ ลิเคียวรสุดยอดของสก๊อตแลนด์ ที่มีประวัติความเป็นมากว่า 250 ปี ตั้งแต่กษัตริย์ของชาวสก็อตที่ชื่อ Prince Charles Edward Stuartหรือที่รู้จักกันแพร่หลายในนาม Bonnie Prince Charie ก็พวก Brave Heart อย่างที่เราเห็นในภาพยนตร์ ตมปะวัติศาสตร์เลว่า พระองค์ทรงยกทัพไปทวงราชบังลังก็คืนจากอังกฤษ ที่
ตอนนั้นปกครองสก๊อตแลนด์อยู่ ผลการรบปรากฏว่าพวกสก๊อตแพ้ (คงเมามากไปหน่อย) ตัวPrince Charlie เองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดดีแต่ว่าได้องครักษ์เอกอย่าง Captain John Mackinnonช่วยชีวิตไว้ พระองค์จึงมอบสูตรลับการผลิตลิเคียวร์ให้ ซึ่งตระกูลMackinnon ก็เก็บสูตรลับนี้ไว้
กลั่นเหล้าไว้ดื่มเองในครอบครัวจนถึปี 1906 (เกือบ 150 ปี)จนถึงทายาทรุ่นที่ 4 นาย Malcolm Mackinnon จึงผลิตเหล้าหวานตัวนี้ออกขายโดยตั้งชื่อว่า 
" ดรัมลุย" ( DRAMBUIE) ซึ่งส่วนผสม
หลักก็คือMalt Whisky ชั้นดี น้ำผึ้งและ "สุตรลับ"ในคราวที่ผมไปเยือนโรงกลั่นนี้ที่ชานเมือง Edinburgh ที่เป็นเมืองสวยมากมีปราสาทเก่าๆและเรื่องราวของวัฒนธรรมสก๊อตแลนด์เยอะมาก UNESC จัดให้เป็นเมืองเอกด้านศิลปะของโลกที่เดียว แหมคุยเรื่องเมืองจนเกือบลืมที่จะบอกว่านาย Malcolm Mackinnon Junior ทายาท
รุ่นที่5 ที่ติดอันดับมหาเศรษฐีของโลกเล่ให้ผมฟังว่าสูตรลับการผลิตนี้จะถ่ายทอดให้เฉพาะผู้หญิงในตระกูลเท่นั้น ปัจจุบันมีแต่ภรรยของเขาเท่นั้นที่รู้และเป็นผู้ปรุงสูตรลับนี้ 

เชื่อหรือไม่ครับว่า....คณธอไม่เคยผลอบอกสามีเลยแม้สักครั้งเดี่ยว!!!ผมเล่าความเป็นมาของ Drambuie สักยืดยาวก็ต้องการแสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ ที่เขาสร้างเรื่องราวย้อนอดีตขายความเป็นชาติชองสก๊อตและสูตรลับการผลิตจากกษัตริย์
เมื่อให้เกิดพลังกับ Brand Identity นี้โดยอาศัยสรรพคุณของส่วนประกอบที่ดีที่ทั่วโลกยอมรับไม่ว่าจะเป็น Malt Whisky ชั้นดี(ขาไม่บอกยี่ห้อ) น้ำผึ้ง (ดีแบบไม่ต้องพิสูจน์)และสุดยอดคือ "สูตรลับ"ที่ทำให้แบรนด์แตกต่าง หากใครคิดจะเลียบแบบ

ส่วนคุณค่า ( Brand Valu) ที่วางไว้คือ เหล้าลิเคียวรตำนานของสก๊อตแลนด์ เรื่องแบบนี้
เองครับที่เขาสร้างแบรนด์จนประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อท่านดื่ม Drambuie คงจินตนาการถึงความแข็งแกร่งของนักรบชาวสก๊อต ปราสาทใหญ่โตในเมือง Edinburgh ฯลฯ

    Drambuie จัดเป็นลิเคียวรอันดับต้นๆของโลก บริษัทมีสินค้าตัวเดียวก็เลี้ยงตัวอยู่ได้
สบายครับ หากจะลองดื่มแนะให้ลองด็อกเหลยอดนิยมของโลกคือ "Rusty Nai" ซึ่งคือ Drambuieผสมสก๊อตวิสกี้และตัดรสหวานด้วยช้อส Tabasco เล็กน้อย ฝรั่งชอบกันมาก โดยเฉพาะหลังจากดื่มเบียร์มากๆ แต่ผมว่าออกจะหวานและแรงไม่น้อยสำหรับคนไทยเรา.... เมาเร็วครับ

   ข้ามมาฝั่งประเทศฝรั่งเศสผมอยากจะให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักสุดยอดอมตะฝรั่งเศสและของโลก "เบนนิคิติน ดอม" (Benedictin Dom)ซึ่งมีประวัติการผลิตย้อนหลังไปเกือบ
500 ปี ตามตำนานเล่าว่าประมาณปี ค. ศ. 1510 นักบวช Dom Berhado Vincelli ได้ทดลองผสมสมุนไพรต่างๆ กับเหลไว้ดื่มเป็นยบำรุงร่งกายภายในสำนัก ซึ่งได้ผลดีเกินคาดเพราะทำให้พระนิกายนี้ งงกันทั่วหน สูตรลับการลิตเหล้าตัวนี้หายสาบสูญไปกว่าสามศตวรรษจนกระทั่งนาย Alexandre LeGrand มาพบและนำผลิตขายจนแพร่หลายไปทั่วโลก (รับทรัพย์เพลินเลยครับ) ผมได้มีโอกาสไปเยือนเมือง Fecamp ในแคว้นนอร์มันดีของฝรั่งเศสใกล้ๆ เมือง Le Harveหรือบริเวณที่กองทัพสหรัฐยกพลขึ้นบกในสงครามโลกครั้งที่สอง บริเวณศูนย์กลางของBenedine palace ซึ่งสวยงามตระการตามากและเขาจัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงสมุนไพรจากทั่วโลก(ซึ่งเขาวเป็นส่วนผสมของสูตรลับการผลิตที่ใช้เครื่องเทศและสมุนไพรมากกว่า 27ชนิด ) นทึ่งมากและทำให้ยอมรับใน Brand Identity ของ Benedictin Dom อย่างไม่ยากเย็น จด
นี้เช่นกันที่เขาสร้างแบรนด์จาก Product Attribute สรรพคุณของสมุนไพรที่ทั่วโลกยอมรับส่วนBrandValue คืคุณค่ของความเก่าแก่จากตำนานยาบำรุงร่างกายของนักบวชในอดีต....จะไม่เชื่อก็คงหาเหตุผลมาหักล้างจนเหนื่อยแน่ครับBenedictin Dm นิยมกันมากในยุโรปและอเมริกา ฝรั่งจะดื่มแบบค็อกเทลก่อนอาหารโดยเฉพาะสูตร B&B (Benedictine และ Brandy ) นอกจากนี้เหล้าตัวนี้ยังใช้ในการปรุงอาหาร
ต่างๆ ได้อีกมาก


มีเรื่องน่าแปลกครับที่การสร้างแบรนด์ของเหล้าตัวนี้ไปได้ดีทั่วโลกแต่ชาวเอเชียโดยเฉพาะชาวจีนในมาเลเชียและสิงคโปร์ลับนิยมดื่มบำรุงร่างกายโดยเฉพาะในสตรีที่ต้องดื่มเป็นประจำช่วงอยู่ไฟหลังคลอด !! เรียกว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่แม่บอกต่อจากรุ่นสู่รุ่น ( ใครล่ะจะกล้าขัดใจแม่ ) ทั้งนี้อาจจะเป็นเพระชาวจีน เชื่อ และนิมผสมสมุนไพรกับเหล้าดื่มอยู่แล้ว...เลยทำให้Brand Position และ Brabd Value แตกต่างไปบ้างแต่กลับส่งผลดีต่อยอดขาย เชื่อหรือไม่ครับยอดขายเหล้าตัวนี้ในมาเเซียและสิงคโปร์รวมกันมากกว่า ยอดขายในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก !!!

     ในมาเลเชียและสิงคโปร์รวมทั้งแถบเยาวราชและหาดใหญ่ ในประเทศไทยท่านสามารถหาซื้อเหลตัวนี้แม้กระทั่งในร้นขายยาจีน ขึ้นชื่อว่าเป็นเหล้า (ม่ใช้น้ำ) ดื่มน้อยๆ แต่ทุกวันก็ติดครับ นี่แหละยอดขายจึงมหาศาลมากท่านผู้อนคงเห็นพลานุภาพของ "สูตรลับ"ที่นำมาสร้างแบรนด์โดยเน้นสรรพคุณ ในสิ่งที่ยอมรับ(โดยไม่ต้องพิสูจน์)มาเป็น Product Attribute แล้วขายความเก่แก่น่าเชื่อถือแค่นี้เองก็ทำให้Brand ทั่งสองตัวนี้เป็นลิเคียวรอมตะ ที่มียอดขายอยู่ได้สบายๆมานานหลายร้อยปี

พฤติกรรมมนุษย์ (Human Behaviour)

พฤติกรรมมนุษย์ (Human Behaviour ) พฤติกรรม หมายถึง กิริยาอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์หรือที่มนุษย์ได้แสดง หรือปฏิกิริยาที่เกิ...