วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

โจนาธาน ลิวิงสตัน นางนวล

  
 
 โจนาธาน ลิวิงสตัน นางนวล  
JONATHAN LIVINGSTON SEAGULL 
 ผู้แต่ง : Richard Bach 1972  
ผู้แปล : ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ๒๕๑๖ 
 
.. ร่างกายของเธอทั้งหมดจากปลายปีกหนึ่งสู่อีกปีกหนึ่งไม่ใช่อะไรอื่น  นอกจากความคิดของเธอเอง 
ตอนหนึ่ง  
        ยามเช้า .....ดวงตะวันใหม่สดใสส่องแสงสีทองทอดทาบระลอกทะเลที่สงบเยือกเย็น เรือตกปลาลําหนึ่งจอดลอยอยู่ห่างจากชายฝั่งหนึ่งไมล์ ส่งสัญญาณให้อาหารนกกระจายขึ้นไป ในอากาศ และแล้วฝูงนางนวลจํานวนพันก็โผบินเข้ามาแย่งอาหารกันกิน                วันแห่งความสับสนอีกวันหนึ่งก็เริ่มขึ้น......  
       แต่ไกลออกไปจากชายฝั่งและเรือ
 โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล กําลังฝึกบินอยู่ เดียวดาย มันบินสูงขึ้นไปในท้องฟูาหนึ่งร้อยฟุต ลดเท้าที่ติดกันลง เชิดปากขึ้น และกระชับปีก เข้าหากันเพื่อหักมุมเลี้ยวที่แสนยากเย็น เมื่อมันเลี้ยวโจนาธานก็บินได้ช้าลง และเมื่อมันบิน ช้าๆ สายลมก็พัดผ่านหน้าราวกับเสียงกระซิบ เบื้องล่างท้องทะเลดูสงบนิ่ง โจนาธานหรี่ตาตั้งสติ แน่วแน่กลั้นหายใจ แล้วก็บังคับให้ตัวหักมุมเลี้ยว….อีกหนึ่งนิ้วฟุต…แต่แล้วขนของมันก็กระจุย มันชงักเสียหลักตกลงมา  
 
              คงจะรู้กันว่านางนวลนั้นไม่มีวันที่จะบินเสียหลัก การเสียหลักในอากาศเป็นเรื่องน่า อายและเสียเกียรติอย่างยิ่ง แต่นางนวลโจนาธาน ลิฟวิสตันไม่ใช่นกธรรมดาๆ มันไม่อาย มัน กางปีกออกอีกครั้งเพื่อจะบินหักมุมเลี้ยวอันแสนยากนั้น มันบินอีกอย่างช้าๆ และแล้วมันก็เสีย หลักอีกทีหนึ่งจนได้               
        นางนวลส่วนมากมักไม่พะวงกับการเรียนรู้เรื่องบินมากไปกว่าที่จะบินแบบง่ายๆ มัน มักจะบินจากฝั่งออกไปหาอาหารแล้วก็บินกลับ สําหรับนางนวลทั่วๆ ไป การกินนั้นสําคัญกว่า การบิน แต่สําหรับโจนาธานนั้นการกินไม่ใช่เรื่องที่สําคัญไปกว่าการบิน 
      โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล รักที่จะบินเหนือสิ่งอื่นใด โจนาธานรู้ว่าการที่มันคิดเช่นนี้ ทําให้มันไม่เป็นที่ชอบพอ ในหมู่นกด้วยกัน แม้แต่พ่อแม่ของมันเองก็ไม่พอใจที่โจนาธานใช้เวลาทั้งวันฝึกบินร่อนระดับ ต่ำอยู่ตัวเดียว ตั้งวันละร้อยๆ ครั้ง  
              โจนาธานไม่รู้ว่าทําไมตนจึงเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อมันบินเหนือน้ำเพียงครึ่งความยาวของ ปีก มันก็ลอยอยู่ในอากาศได้นานๆ โดยใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย เมื่อมันร่อนมาลงทะเล มันก็ไม่ใช้เท้าระน้ำแบบธรรมดา แต่มันกลับหดเท้าแน่นไว้กับลําตัวเวลาลงแตะผิวน้ำ และเมื่อ มันเริ่มร่อนลงชายหาด มันก็ใช้ลําตัวไถไปเป็นแนวยาวบนพื้นทราย ซึ่งทําให้พ่อแม่ของโจ นาธานอ่อนอกอ่อนใจอย่างยิ่ง  
 
              "ทําไมนะ จอน ทําไม" แม่ถามขึ้น "ทําไม่มันยากนักรึที่จะทําตัวให้เหมือนนกอื่นๆ ในฝูง หือ จอน ทําไมแกไม่ปล่อยให้การบินระดับต่ำเป็นเรื่องขอนกเพลิแกน หรือนกอัลบาท รอส แล้วทําไมแกไม่กินซะบ้าง จอน แกน่ะเหลือแต่กระดูกและขน!"  
              "แม่ ฉันไม่กลัวที่จะเหลือแต่กระดูกและขนฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเมื่อฉันอยู่ในอากาศ ฉันจะทําอะไรได้หรือทําไม่ได้ ฉันเพียงแต่อยากรู้เท่านั้นเอง"  
              "นี่นะโจนาธาน" พ่อพูดขึ้นอย่างไม่ไร้ความปรานี "หน้าหนาวก็ไม่ไกลนัก แล้วเรือ หาปลาเหลือไม่กี่ลํา และปลาผิวน้ำก็จะว่ายลงสู่น้ำลึก ถ้าแกจะต้องเรียนรู้ แกก็ต้องเรียนรู้เรื่อง อาหาร และก็หาอาหารกินให้ได้ เรื่องการบินนี่นะดีอยู่หรอก แต่แกก็น่าจะรู้ว่าการบินการร่อน กินเข้าไปไม่ได้ อย่าลืมว่าเหตุที่แกบินก็เพื่อเอาไว้หากิน"  
 
              โจนาธานพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง และในเวลาสองสามวันต่อมามันก็พยายามทําตัว เหมือนๆ นางนวลอื่นๆ มันพยายามส่งเสียงร้อง สู้ ร่อนลงแย่งเศษปลาและขนมปังกับฝูงนกที่ ท่าน้ำและเรือตกปลา แต่มันก็ทําได้ไม่ตลอด โจนาธานคิดว่าการทําเช่นนั้นช่างไม่มีจุดหมาย เสียเลย บางครั้งมันก็ทิ้งปลาแห้ง ซึ่งได้มาอย่างยากเย็นให้กับนกนางนวลแก่ๆ หิวโหยที่บินตาม มันมา โจนาธานคิดว่ามันควรจะใช้เวลาทั้งหมดในการฝึกบิน มีอะไรๆ มากมายที่จะต้องเรียนรู้ อีกไม่นานต่อมาโจนาธานก็ออกไปไกลอยู่ในทะเลตัวเดียว มันหิว มีความสุข และเรียนรู้ สิ่งที่ มันเรียนรู้ก็คือ ความเร็ว และภายในเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ฝึกฝนอยู่ มันก็เรียนรู้เรื่องความเร็ว มากกว่านกนางนวลที่บินเร็วที่สุดตัวใดๆ  
 
              โจนาธานกระพือปีกอย่างแรงที่สุดเท่าที่จะทําได้ มันทิ้งตัวจากความสูงหนึ่งพันฟุตดิ่ง ลงมาหาฟองคลื่น และมันก็เริ่มจะรู้ว่าทําไมนกนางนวลอื่นๆ ถึงไม่บินพุ่งตัวดิ่งลงมา เพราะ ภายในเวลาหกวินาทีมันก็สามารถบินดิ่งได้เจ็ดสิบไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นความเร็วที่ทําให้ปีก ของมันสั่งคลอนตอนตีปีกขึ้น โจนาธานบินอย่างระมัดระวังและสุดความสามารถ แต่มันก็เสีย การทรงตัวเมื่อบินด้วยความเร็วสูง                
    มันพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า มันบินขึ้นไปสูงหนึ่งพันฟุต ตรงไปข้างหน้าอย่างเต็มกําลัง ตีปีก แล้วก็พุ่งดิ่งลงมาเป็นแนวตรง แต่ทุกๆ ครั้งที่มันทําเช่นนั้น ปีกซ้ายของมันก็เสียหลัก เมื่อยกปีกขึ้น มันถลาไปทางซ้ายอย่างรุนแรง มันพยายามใช้ปีกข้างขวาทรงตัว แต่มันก็ตีลังกา หมุนกลับทันที ราวกับไฟปะทุ โ

    โจนาธานระมัดระวังไม่พอตอนตีปีกขึ้น มันพยายามใหม่ตั้งสิบ ครั้ง และทั้งสิบครั้งนั้นมันก็บินได้ถึงเจ็ดสิบไมล์ต่อชั่วโมง แต่ขนของมันกระจุยเสียหลัก ตก กระแทกลงสู่พื้นน้ํา โจนาธานเปียกโชก และมันก็คิดได้ในที่สุดว่ากุญแจดอกสําคัญของการบิน เร็วก็คือยึดปีกทั้งสองข้างไว้ให้แน่น  
 
              มันตีปีกกระชั้นกันห้าสิบครั้งแล้วก็ยึดไว้เฉยๆ มันพยายามอีกครั้งจากระยะสูงสอง พันฟุต ทิ้งตัวดิ่งลงมา ปากพุ่งตรง กางปีกออกเต็มที่และยึดนิ่งเอาไว้เมื่อถึงตอนที่บินด้วย ความเร็วห้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง มันใช้กําลังมหาศาลแล้วก็ได้ผล ในเวลาเพียงสิบวินาทีโจนาธาน สามารถบินได้เก้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง และแล้วมันก็ทําสถิติความเร็วในหมู่นกนางนวล!  
 
              แต่ความสําเร็จของมันสั้นยิ่งนัก ทันทีที่โจนาธานเริ่มลดความเร็ว และทันทีที่มัน เปลี่ยนมุมปีก มันก็บังคับตัวไม่อยู่ในระยะของการบินเก้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง การเสียหลักทรงตัว เกิดขึ้นราวกับดินระเบิด โจนาธาน : นางนวล เสียหลักกลางอากาศและตกลิ่วลงกระทบผิวทะเล ที่แข็งราวกับอิฐ ถึงตอนนั้นบรรยากาศก็มืดสนิท  
 
 
              โจนาธาน ลอยตัวในมหาสมุทรท่ามกลางแสงจันทร์ ปีกของมันหนักราวกับห่อหุ้ม ด้วยแท่งตะกั่ว แต่ดูเหมือนว่าน้ําหนักของความล้มเหลวจะทับถมอยู่บนหลังมันมากกว่า โจ นาธานได้แต่ภาวนาอย่างอ่อนระโหย ให้น้ําหนักนั้นถ่วงมันจมลงสู่ก้นทะเล จะได้จบสิ้นกันเสีย ที เมื่อมันเริ่มจมลงในน้ํานั้น  
 
              โจนาธานได้ยินเสียงพูดโหยหวนและประหลาดขึ้นมาในตัวของมันเอง ไม่มีทางแน่ๆ ฉันเป็นแต่เพียงนางนวล ธรรมชาติได้สร้างฉันขึ้นมาอย่างจํากัด ถ้าฉันถูกสร้างมาให้เรียนรู้ เรื่องการบินได้ ฉันควรจะต้องมีมันสมองมากมาย ถ้าฉันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้บินเร็วได้ ฉันก็ น่าจะต้องมีปีกสร้างอย่างนกเหยี่ยวและฉันก็ควรจะกินหนูแทนที่จะกินปลา พ่อฉันพูดถูกแล้ว ฉันต้องลืมเรื่องโง่ๆ นี่เสีย ฉันจะต้องบิน ต้องบินกลับไปบ้านไปหาฝูงนกของฉัน และฉันควร จะต้องพอใจต่อสภาพของนางนวลที่น่าสงสารและมีความสามารถจํากัดเช่นนี้ เสียงพูดนั้นเงียบ หายไป และโจนาธานก็เห็นพ้องด้วย  
 
              ที่อยู่ของนางนวลยามค่ําคืนก็คือชายฝั่ง โจนาธานให้สัญญากับตัวเองว่านับแต่วาระนี้ ต่อไป มันจะยอมเป็นางนวลธรรมดาๆ นั่นจะทําให้ตัวอื่นมีความสุขขึ้น โจนาธานค่อยๆ บินขึ้น จากพื้นน้ําอันมืดสนิทอย่างอ่อนระโหยกลับเข้าสู่ชายฝั่ง มันบินกลับในระดับต่ํา และก็พอใจที่ ตนได้เรียนรู้เกี่ยวกับการบินเช่นนั้น                โจนาธานคิดต่อไปอีกว่า ไม่ ฉันจะไม่เป็นอย่างที่แล้วมา ฉันจะเลิกเรียน ฉันเป็นนก เหมือนกันกับนางนวลตัวอื่นๆ ฉันจะบินให้เหมือนกับตัวอื่นๆ แม้ว่าจะเจ็บปวดอย่างยิ่ง โจ นาธานก็บินสูงขึ้นสูงขึ้นไปหนึ่งร้อยฟุต มันตีปีกแรงมุ่งกลับเข้าหาชายฝั่ง โจนาธานรู้สึกสบาย ใจขึ้น ที่ได้ตัดสินใจเป็นนกเหมือนๆ กับนกในฝูง ทีนี้ก็จะไม่มีพันธะบังคับให้โจนาธานต้อง เรียนรู้ แล้วก็จะไม่มีความท้าทายหรือความล้มเหลวอีกต่อไป มันช่างสวยสดจริงที่เลิกคิดเสียได้ และแล้วโจนาธานก็บินผ่านความมืด มุ่งไปหาแสงไฟที่ชายฝั่ง  
  
 
              ความมืด! เสียงอันโหยหวนก้องขึ้นอย่างตกใจ นางนวลไม่มีวันที่จะบินในความมืด! 
โจนาธานไม่ได้ตื่นใจที่จะฟังเสียงนั้น มันมัวแต่คิดว่าช่างงดงามเสียจริง ดวงจันทร์ส่องแสง ระยิบระยับเหนือพื้นน้ําสาดแสงเป็นทางยาวเล็กๆ ทอดข้ามยามค่ําคืน ทุกอย่างสงบและนิ่ง…. บินลงไปซะ! นางนวลไม่เคยบินในความมืด! ถ้าเธอถูกสร้างมาให้บินในความมืด เธอจะต้องมี ตาเหมือนนกฮูก เธอจะต้องมีมันสมองมากมาย เธอจะต้องมีปีกสั้นเหมือนนกเหยี่ยว!  
 
              โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล กระพริบตาในความมืดของยามค่ําคืน ในอากาศที่ สูงหนึ่งร้อยฟุต และแล้วความปวดร้าว คํามั่นสัญญาของมันก็สูญสิ้นไป ปีกสั้น ปีกที่สั้นอย่างนก เหยี่ยว! นั่นคือคําตอบ! ฉันช่างโง่เสียนี่กระไร! สิ่งที่ฉันต้องการก็คือปีกสั้นนั่นเอง สิ่งที่ฉันต้อง ทําก็คือ พับปีกของฉันไว้เสียให้เกือบหมด แล้วก็ใช้แต่เพียงปลายปึกเท่านั้นบิน! ปีกสั้น  
 
              และแล้วโจนาธานก็บินสูงขึ้นไปสองพันฟุต เหนือท้องทะเลที่มืดสนิท โดยที่ไม่ต้อง หยุดชะงักนึกถึงความล้มเหลวหรือความตายมันยึดโคนปีกไว้แน่นกับลําตัว ปล่อยแต่เพียงส่วน ที่เล็กของปลายปีตวัดโต้ลม มันพุ่งตรงลงมา เสียงลมก้องสนั่นปะทะหัวของโจนาธาน มันบิน เจ็ดสิบไมล์ต่อชั่วโมง เก้าสิบไมล์ ร้อยยี่สิบไมล์ และก็ยิ่งเร็วขึ้นๆ ตอนนี้ปีกของมันที่กางบิน ร้อยสี่สิบไมล์ต่อชั่วโมงก็ดูไม่ยากเย็นเหมือนตอนบินเจ็ดสิบไมล์ต่อชั่วโมง และเพียงแค่มันบิด ปลายปีกนิดเดียวมันก็สามารถจะชลอความเร็ว เมื่อพุ่งดิ่งลงมาเหนือฟองคลื่น ซึ่งดูราวกับ ลูกปืนใหญ่สีเทาภายใต้แสงจันทร์ โจนาธานหรี่ตาลงปะทะลมแล้วก็ลิงโลดใจ หนึ่งร้อยสี่สิบไมล์ ต่อชั่วโมง! ซ้ํายังบังคับตัวได้! ถ้าหากฉันพุ่งดิ่งจากระดับห้าพันฟุต แทนที่จะเป็นจากสองพัน ฟุต ฉันสงสัยว่ามันจะเร็วได้สักแค่ไหน……                
     โจนาธานลืมคํามั่นสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองเมื่อครู่ก่อนเสียสิ้นมันโผบินไปมาในสาย ลม และมันก็ไม่รู้สึกผิดที่ทําลายคําสัญญานั้นเสีย คํามั่นสัญญาแบบนั้นเป็นเรื่องของนางนวลที่ ยอมรับความธรรมดาสามัญ แต่สําหรับผู้ที่ได้ชิมความเป็นเลิศในการเรียนรู้ ไม่มีความจําเป็น จะต้องยึดคําสัญญาแบบนั้น  
  
 
              เมื่อดวงตะวันขึ้น นางนวลโจนาธานยังคงฝึกบินอยู่ต่อไป จากระดับห้าพันฟุตเรือหา ปลาดูเป็นเพียงจุดเล็กจุดน้อย เหนือพื้นน้ําสีน้ําเงินที่แบนราบ กลุ่มนกที่ออกหากินตอนเช้าดู คล้ายกลุ่มฝุนบางๆ ที่หมุนเป็นวงกลม โจนาธานรู้สึกมีชีวิตชีวา มันสั่นสะท้านเล็กน้อยด้วย ความดีใจ ภูมิใจที่บังคับความหวาดกลัวไว้ได้ และแล้วโดยไม่ต้องมีพิธีการมันขยับโคนปีกเข้า ลําตัวเหยียดแต่เพียงปลายปีกอันสั้นออกไป โจนดิ่งพุ่งลงสู่ท้องทะเล เมื่อถึงตอนที่มันถลาลงจาก ระดับสี่พันฟุต มันก็ถึงที่สุดของความเร็ว                
 สายลมดูแข็งราวกับกําแพงเสียงที่สกัดกั้นไม่ให้มันถลาลงได้เร็วไปกว่านั้น โจ นาธานยังคงบินดิ่งตรงมาด้วยความเร็วสองร้อยสิบสี่ไมล์ต่อชั่วโมง โจนาธานกลืนน้ําลาย รู้สึก แน่ว่าถ้าหากปีกของมันหลุดกางออกในระดับความเร็วนี้ มันก็จะระเบิดออกเป็นนางนวลชิ้น เล็กชิ้นน้อยสักล้านส่วน แต่ความเร็วคือพลัง ความเร็วคือความรื่นรมย์ และความเร็วคือความ งามบริสุทธิ์  
 
              โจนาธานเริ่มชะลอความเร็ว เมื่อถึงระดับหนึ่งพันฟุต ปลายปีกของมันสั่นสะท้านเมื่อ ต้องลมมหากาฬนั้น เบื้องหน้าของมัน เรือและฝูงนางนวลพุ่งตรงเข้ามารวดเร็วดั่งดาวตก โจ นาธานหยุดไม่ได้ มันไม่รู้ว่าจะหักเลี้ยวได้อย่างไร เมื่อบินด้วยความเร็ซขนาดนั้น ถ้าชนกันก็ ตายทันที ดังนั้นโจนาธานจึงได้แต่หลับตา  
 
              บังเอิญเหลือเกินว่าในตอนเช้าวันนั้นหลังดวงตะวันขึ้น นางนวล : โจนาธาน ลิฟวิง สตัน บินผ่านพุ่งเข้าไปในตอนกลางของกลุ่มนกที่ออกหากินตอนเช้า มันผ่านไปด้วยความเร็ว สองร้อยสิบสองไมล์ต่อชั่วโมง ดวงตาปิดสนิทลมและขนของมันส่งเสียงหวาดหวือสนั่นแต่ นางนวลแห่งโชคยิ้มให้มันและไม่มีใครต้องถึงตาย เมื่อถึงตอนที่มันเชิดปากบินสู่ฟูา โจนาธาน ก็ยังคงพุ่งไปด้วยความเร็วหนึ่งร้อยหกสิบไมล์ต่อชั่วโมง และเมื่อมันลดความเร็วเหลือเพียง ยี่สิบไมล์ต่อชั่วโมง มันก็กางปีกออกได้ในที่สุด  
 
              ถึงตอนนั้นเรือหาปลาลอยอยู่ในทะเลเบื้องล่างห่างจากมันสี่พันฟุต สิ่งที่โจนาธานคิด ได้ก็คือชัยชนะ ความเร็วสุดยอด! นางนวลบินได้ถึง สองร้อยสิบสี่ไมล์ต่อชั่วโมง! มันช่างเป็น ประวัติการณ์ เป็นชั่วขณะที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของฝูงนกนางนวล เป็นชั่วขณะของยุค ใหม่ที่เปิดต้อนับโจนาธาน ลิฟวิงสตัน                มันบินออกไปยังสถานที่ฝึกบินอันโดดเดี่ยว หดปีกเข้าเพื่อพุ่งดิ่งลงจากระดับแปด พันฟุต คราวนี้มันจะค้นหาวิถีหักมุมเลี้ยว และแล้วโจนาธานก็ค้นพบว่า เพียงขยับปลายปีก เพียงส่วนนิดเดียวของหนึ่งนิ้วฟุต ทําให้มันวาดวงโค้งได้อย่างสวยในช่วงความเร็วมหาศาลนั้น อย่างไรก็ตามก่อนมันจะค้นพบวิธี มันก็พบว่าหากขยับขนมากกว่าหนึ่งอันในช่วงความเร็วนั้น มันก็จะหมุนติ้วราวกับลูกปืนไรเฟิล…. โจนาธานกลายเป็นนางนวลตัวแรกที่บินกายกรรมบน อากาศก่อนนางนวลตัวใดๆ ในโลก  
 
              วันนั้น โจนาธานไม่ยอมเสียเวลาที่จะคุยกับนางนวลตัวอื่นๆ มันบินไปจนตะวันตก มันค้นพบวิธีบินเป็นวง บินกลิ้งช้า บินกลิ้งตรง บินหมุนกลับ บินผลักนางนวล บินหมุนลูกข่าง                

      เมื่อโจนาธานกลับเข้าไปหาฝูงนางนวลบนชายฝั่ง เวลาก็ล่วงเลยเป็นกลางคืน มันรู้สึก เวียนหัวและเมื่อยล้านักหนา กระนั้นก็ตามมันบินเป็นวงเพื่อร่อนลงด้วยความปิติยินดี มันคิดว่า เมื่อพรรคพวกได้ฟังเรื่องความสําเร็จพวกนั้นคงจะตื่นเต้นดีใจด้วย ช่างมีค่าเหลือเกินที่จะมี ชีวิตอยู่ต่อไปในตอนนี้! ชีวิตมีความหมายมากขึ้นกว่าการบินอย่างเซ็งๆ กลับไปกลับมาจากเรือ หาปลา เราสลัดความโง่เขลาทิ้งเสียได้ เราค้นพบได้ว่าเราเป็นสัตว์วิเศษ ฉลาดรอบรู้ เราเป็น อิสระได้! เราเรียนรู้ที่จะบินได้! แล้วกาลเวลาข้างหน้าก็กระหึ่มและวาววามด้วยคํามั่นสัญญา  
 
                  เมื่อโจนาธานร่อนลงนั้น บรรดานกนางนวลจับกลุ่มกันเป็นที่ประชุมสภา และก็คง ยืนจับกลุ่มกันมาได้พักใหญ่แล้ว ที่จริงพวกนั้นคงจะรออยู่  
              "โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล เข้ามายืนตรงกลาง!" เสียงผู้ใหญ่นก ดังขึ้นอย่างมี พิธีรีตองสูงสุด การยืนตรงกลางหมายถึงเพียงความอับอายหรือไม่ก็เสื่อมเสียเกียรติยศอย่าง ใหญ่หลวง แต่การยืนตรงกลางเพื่อเกียรติก็เป็นวิธีกําหนดผู้นํานางนวลขั้นสูง                

  โจนาธานคิดว่า เมื่อเช้านี้พวกฝูงนกออกหากินคงจะได้เห็นความสําเร็จในการบิน ของมันแน่ทีเดียว! แต่ฉันไม่ต้องการเกียรติยศ ฉันไม่เคยคิดอยากจะเป็นผู้นํา ฉันเพียงแต่ อยากเอาสิ่งที่ค้นพบมาเผยแพร่ร่วมกัน ฉันเพียงอยากให้พวกเราทุกตัวได้เห็นขอบน้ำ เบื้องหน้าโน้น  
 
              แล้วโจนาธานก็ก้าวออกไป  
              "โจนาธาน ลิฟวิงสตัน" ผู้ใหญ่นก พูด "เข้ามายืนตรงกลางเพื่อให้นกอื่นๆ เห็นความ อับอาย!" โจนาธานรุ้สึกเหมือนกับว่าถูกตีด้วยแผ่นกระดาษ เข่าของมันอ่อนเปลี้ย ขนตกลู่ หูอื้อ ยืนตรงกลางเพื่อความอับอาย? เป็นไปไม่ได้! ความสําเร็จ! พวกนั้นไม่เข้าใจ! พวกนั้นคิดผิด พวกนั้นคิดผิด!  
 
              "…เพื่อความเหลวไหลและความหุนหันพลันแล่น" เสียงที่เคร่งขรึมดังขึ้น ทําลาย เกียรติยศและประเพณีของตระกูลนางนวล.."  
              เข้าไปยืนตรงกลางเพื่อความอับอายหมายถึงว่า โจนาธานจะถูกไล่ออกจางฝูงนกและ ถูกขับให้ไปมีชีวิตเดียวดายที่ หน้าผาโพ้น  
              "…สักวันหนึ่ง โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล แกจะรู้ว่าการไร้ความรับผิดชอบไม่มี ประโยชน์อะไร ชีวิตเป็นเรื่องลี้ลับ และจะเรียนรู้ไม่ได้ เรามาอยู่ในโลกนี้เพียงเพื่อกิน และ พยายามมีชีวิตอยู่ให้ยืนยาวเท่าที่เราจะทําได้"  
              นางนวลจะพูดโต้ตอบที่ประชุมสภาไม่ได้ แต่ โจนาธานก็กล่าวแย้งขึ้น  
              "ไร้ความรับผิดชอบ? พี่น้องของฉัน!" มันร้องขึ้น  
              "ใครกันแน่ที่จะมีความรับผิดชอบเท่ากับนางนวลตัวที่ค้นและติดตามความหมาย ซึ่ง เป็นจุดประสงค์สูงส่งในชีวิต นับเป็นเวลาพันปีที่พวกเราได้แต่ตะกุยตะกายหาแต่ปลา แต่บัดนี้ เรามีเหตุและผลที่จะดํารงชีวิตอยู่เพื่อเรียนรู้ เพื่อค้นหา และเพื่อเป็นอิสระ! ให้โอกาสฉันสัก ครั้งให้ฉันแสดงให้ท่านดูว่าฉันได้ค้นพบอะไร…"  
              "ความเป็นพี่น้องขาดกัน" บรรดานางนวลกล่าวขึ้นพร้อมกันและต่างก็ตกลงปิดหูไม่ รับฟังหันหลังให้โจนาธาน  
  
 
              โจนาธานนางนวลใช้เวลาหลังจากนั้นอยู่ตัวเดียว มันบินไกลออกไปจาก หน้าผาโพ้น ความเสียใจของมันมิใช่ที่ต้องอยู่อย่างสันโดษ แต่เพราะนางนวลอื่นๆ ไม่ยอมเชื่อในความ มหัศจรรย์ของการบินที่รอคอยพวกมันอยู่ พวกนั้นไม่ยอมที่จะลืมตาออกดู                โจนาธานเรียนรู้มากขึ้น ทุกวัน ทุกวัน มันค้นพบว่าการพุ่งดิงตรงลงมาทําให้มันลง ไปจับปลารสอร่อยๆ หายากที่ว่ายอยู่ลึกถึงสิบฟุตใต้ผิวน้ําในมหาสมุทร โจนาธานเลยไม่ต้อง อาศัยหากินกับเรือหาปลา หรือขนมปังเก่าๆ อีกต่อไป มันเรียนรู้วิธีที่จะหลับนอนในอากาศโดย การบินทวนลมบกตอนกลางคืนเป็นระยะทางตั้งร้อยไมล์จากตะวันตกถึงตะวันขึ้น และด้วยวิธี เดียวกัน มันสามารถบินฝุาหมอกทะเลที่ลงจัด ขึ้นไปเหนือสู่ท้องฟ้าให้เป็นประกาย… ในขณะ ที่นกนางนวลตัวอื่นๆ ต้องทนอยู่ที่ชายหาด ทนอยู่กับหมอกและฝน  
 
              โจนาธานเรียนรู้วิธีร่อนไปกับลมที่พัดจัดลึกเข้าไปจากชายฝั่ง และมันก็ได้กินแมลง รสดีๆ สิ่งที่โจนาธานเคยหวังว่าจะให้ฝูงนกเรียนรู้นั้น กลายเป็นสิ่งที่มันรู้ไว้แต่เพียงตัวเดียวใน ขณะนี้ มันเรียนรู้การบินและก็ไม่เสียใจที่ถูกเคราะห์กรรม นางนวลโจนาธานค้นพบว่าความ เบื่อหน่าย ความกลัว ความโกรธ เป็นต้นเหตุที่ทําให้ชีวิตนกนางนวลสั้นยิ่งนัก และเมื่อสิ่ง เหล่านี้สูญหายไปจากจิตใจของมัน โจนาธานก็มีชีวิตยืนยาวสดใสยิ่ง  
 
 
 
              พวกนั้นมาถึงเมื่อตอนพลบค่ำมาพบโจนาธานกําลังบินร่อนอยู่อย่างสงบตัวเดียว ภายใต้ท้องฟ้าที่มันรัก นางนวลสองตัวที่มาปรากฎใกล้ปีกของโจนาธานนั้นดูบริสุทธิ์ราวกับ แสงดาว และรังสีที่เปล่งออกมาดูเยือกเย็นเป็นมิตรในอากาศของยามค่ำคืน แต่สิ่งที่งดงามที่สุด ก็คือ ความชํานําชํานาญในการบินของนกสองตัวนั้น ปลายปีกขยับทีละนิ้วฟุต อย่างแม่นยํา และมั่นคงเมื่อเทียบกับโจนาธาน                โดยที่มิได้พูดอะไร โจนาธานทําการลองเชิงนางนวลสองตัวนั้น การลองเชิงที่ไม่มี นางนวลตัวใดเคยผ่านไปได้ โจนาธานขยับบิดปีกร่อนลงช้าลงเหลือเพียงหนึ่งไมล์ต่อชั่วโมงจน เกือบหยุดนิ่ง เจ้าสองตัวแสนงามนั้นบินช้าลงเช่นกันอย่างนิ่มนวลด้วยท่าอันถูกต้องมันรู้วิธีบิน ช้าเป็นอย่างดี โจนาธานขยับปีกเข้า ถลาไป แล้วก็พุ่งดิ่งลงด้วยความเร็วเก้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง นางนวลสองตัวนั่นก็พุ่งดิ่งลงมาพร้อมกับโจนาธานโดยไม่ผิดพลาด ในที่สุดโจนาธานก็เปลี่ยน ความเร็วนั้นขึ้นไปเป็นเส้นตรง ถลาไปอย่างช้าๆ เจ้าสองตัวนั่นก็ถลาตามมาแล้วยิ้ม  
 
              โจนาธานกลับไปบินระดับตรง เงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้น  
              "เอาละ" มันว่า "เธอเป็นใคร"  
              "เรามาจากฝูงของเธอ โจนาธาน เราเป็นพี่น้องของเธอ" คําพูดดูหนักแน่นและเยือก เย็น  
              "เรามาเอาเธอไปที่สูงไกลออกไป เอาเธอกลับบ้าน"  
              "บ้านฉันไม่มี ฝูงฉันก็ไม่มี ฉันเป็นตัวหัวเน่า และตอนนี้เราก็บินอยู่สูงสุด ลมภูผา ใหญ่ แล้ว เพียงอีกแค่สองสามร้อยฟุตฉันก็จะพยุงตัวบินสูงขึ้นไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว"                "แต่เธอทําได้ โจนาธาน เพราะเธอได้เรียนรู้มาแล้ว จบสิ้นไปแล้วหนึ่งโรงเรียน ตอนนี้ ถึงเวลาที่จะต้องเริ่มใหม่อีกโรงเรียนหนึ่ง"  
 
              เหมือนดั่งกับว่าโจนาธานได้รู้มากแล้วชั่วชีวิต นางนวลโจนาธานเข้าใจเป็นอย่างดี ในฉับพลัน เจ้านกสองตัวนั่นพูดถูก โจนาธานบินสูงขึ้นไปได้ และถึงเวลาที่จะต้องกลับบ้าน แล้ว โจนาธานมองดูท้องฟูา แผ่นดินสีเงินงามที่มันได้เรียนรู้อย่างมหาศาลเป็นครั้งสุดท้ายเป็น เวลานาน  
              "ฉันพร้อมแล้ว" โจนาธานพูดขึ้นในที่สุด  
 
              และแล้วนางนวลโจนาธาน ลิฟวิงสตัน ก็บินสูงขึ้นไปพร้อมกับนกสองตัวที่สดใสราว กับดาวนั่น หายเข้าไปในท้องฟ้าที่มืดสนิท   
 ตอนสอง  
 
            โจนาธานคิดและต้องยิ้มกับตัวเอง มันช่างไม่น่านิยมเลยที่จะวิเคราะห์สวรรค์ใน ขณะที่กําลังบินเข้าไปหา เวลาที่โจนาธานบินออกจากโลก เหนือหมู่เมฆเคียงข้างไปกับนางนวล สดใสสองตัวนั้น มันเริ่มมองเห็นว่าตัวของมันเองก็ส่งประกายสุกสกาวราวกับเจ้านกสองตัวนั่น แน่นอน นางนวลหนุ่มโจนาธานยังคงอยู่เหมือนเดิมดั่งที่เคยเป็นมาเบื้องหลังดวงตาสีทอง แต่ รูปกายภายนอกได้เปลี่ยนไปเสียแล้ว ความรู้สึกก็ยังเป็นตัวนางนวล แต่ว่ามันบินได้ดีกว่าตัว เก่า  
 
            ทําไมล่ะ โจนาธานคิดเ พียงใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียวฉันก็จะบินได้เร็วถึงสอง เท่า สองเท่าของวันที่เคยบินดีที่สุดบนพื้นโลก! ถึงตอนนั้นขนของโจนาธานส่งประกายใสขาว ปีกของมันนุ่มนวลและมั่นคงราวกับแผ่นเงินขัด โจนาธานเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับปีกทั้งสองด้วย ความลิงโลด มันสอดใส่พลังเข้าไปในปีกอันใหม่ โจนาธานรู้สึกว่ามันเกือบถึงที่สุดของ ความเร็วในการบินระดับตรงแล้ว เมื่อมันบินได้ถึงสองร้อยห้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง และเมื่อมันบิน ได้สองร้อยเจ็ดสิบสามไมล์ต่อชั่วโมง มันคิดว่ามันบินเร็วสูดความสามารถแล้ว และก็ทําให้มัน ผิดหวังยิ่งที่มีขอบเขตจํากัดต่อรูปกายตัวใหม่ของมัน แม้ว่ามันจะบินได้เร็วกว่าสถิติบินระดับ ตรงเดิม กระนั้นก็ยังเป็นขอบเขตจํากัดที่ต้องใช้ความพยายามมหาศาลที่จะทําลาย  
 
            โจนาธานคิดว่าไม่ควรจะมีขอบเขตจํากัดในสวรรค์เลย ก้อนเมฆแตกกลุ่มออก นก ที่มาด้วยทั้งสองร้องขึ้นว่า "ขอให้ร่อนลงด้วยความปลอดภัยนะโจนาธาน" แล้วก็หายลับไปใน อากาศที่เบาบางนั้น  
 
             โจนาธานบินอยู่เหนือทะเล มุ่งไปสู่แนวชายหาดที่ขรุขระ นางนวลสองสามตัวกําลัง ฝึกบินพุ่งขึ้นเหนือหน้าผา นกอีกจํานวนหนึ่งกําลังบินอยู่ที่ขอบน้ำกับท้องฟ้าไกลออกไปทางเหนือ นั่นเป็นทัศนภาพใหม่ๆ ความคิดใหม่ๆ และคําถามใหม่ๆ ทําไมถึงมีนางนวลน้อยนัก ในสวรรค์ ควรจะเต็มไปด้วยฝูงนกนางนวล! และทําไมฉันถึงได้เหนื่อยนัก อย่างทันทีทันควัน นางนวลใน สวรรค์ไม่น่าจะเหนื่อยได้เลย หรือก็ไม่น่าจะต้องหลับนอนด้วย              
   โจนาธานได้ยินเรื่องแบบนี้มาจากไหนนะ ความทรงจําในชีวิตบนพื้นโลกของมัน กําลังหดหายไป แน่นอนพื้นโลกเป็นที่ที่มันได้เรียนรู้อย่างมากมาย แต่รายละเอียดเล็กน้อย กําลังจางหายไป เรื่องเกี่ยวกับการแย่งชิงอาหาร เรื่องเป็นตัวหัวเน่า นางนวลสิบสองตัวจาก ชายฝั่งตรงเข้ามาหาโจนาธาน ไม่มีตัวไหนพูดอะไรสักคํา แต่โจนาธานรู้สึกว่ามันได้รับการ ต้อนรับและที่นี่ก็คือบ้าน วันนั้นเป็นวันสําคัญสําหรับมัน เป็นวันที่มันจําไม่ได้ว่ามีดวงตะวันขึ้น อีกต่อไป             
      โจนาธานค่อยๆ ร่อนลงบนชายหาด ตีปีกให้หยุดเพียงหนึ่งนิ้วฟุตบนอากาศ แล้วก็ หย่อนตัวลงบนพื้นทรายอย่างแผ่วเบา นางนวลตัวอื่นๆ ร่อนลงด้วยเช่นกัน แต่ไม่มีสักตัวเดียว ที่ตีขนมากกว่าหนึ่งอัน พวกนั้นหมุนไปกับลม เหยียดปีกที่สดใสออกเต็มที่ แล้วก็ขยับเปลี่ยนวง โค้งที่ขนจนหยุดอยู่กับที่ ในขณะเดียวกับที่เท้าของมันแตะพื้นทราย มันช่างเป็นการบังคับตัวที่ งดงาม แต่ในตอนนี้โจนาธานก็หนื่อยเกินกว่าที่จะลองทําดูบ้าง มันม่อยหลับไปในขณะที่ยืนอยู่ บนหาดนั้นโดยที่ยังมิได้พูดอะไรสักคําเดียว  
 
 
             หลายๆ วันต่อมา โจนาธานพบว่ามีสิ่งที่ต้องเรัยนรู้มากมายเรื่องการบินในสถานที่นี้ เหมือนกับในชิวิตที่มันทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่ก็แตกต่างกัน ที่นี่นางนวลที่รู้จักคิดเหมือนกับที่มัน คิด สําหรับนกแต่ละตัวนั้นสิ่งที่สําคัญที่สุดในการดํารงชีวิตคือการไขว่คว้าและสัมผัสความเป็น เลิศซึ่งพวกนั้นรักที่จะทํา สิ่งนั้นคือการบิน พวกนั้นทั้งหมดนั่นแหละ พวกนั้นใช้เวลาชั่วโมง แล้วชั่วโมงเล่าทุกวันเฝูาฝึกบินทดลองการเดินทางอากาศที่พิสดาร เป็นเวลานานทีเดียวที่โจ นาธานลืมโลกที่มันจากมา ลืมที่ที่ฝูงนางนวลใช้ชีวิตอยู่ด้วยดวงตาที่ปิดสนิทต่อความเริงรื่นใน การบิน ฝูงนางนวลนั้น ใช้ปีกเป็นเครื่องมือสุดสิ้นเพียงการหาหรือแย่งชิงอาหารแต่ในบางครั้ง บางคราวเพียงชั่วแวบโจนาธานก็ระลึกขึ้นมาได้บ้าง  
 
 
             เช้าวันหนึ่งโจนาธานออกไปกับครูผู้สอน ขณะที่มันพักอยู่ที่ชายหาดหลังจากวาระการ บินถลาเร็วโดยพับปีก มันก็นึกขึ้นมาได้  
             "เขาหายไปไหนกันหมด ชัลลิแวน" โจนาธานถามขึ้นอย่างเงียบๆ ตอนนี้มันคุ้นเคย กับการติดต่อสนทนาด้วยกระแสจิตอย่างง่ายๆ ที่นางนวลเหล่านี้ใช้แทนการแหกปากตะโกน เจี๊ยวจ๊าว  
             "ทําไมถึงไม่มีพวกเรามากกว่านี้อยู่ที่นี่ ทําไมนะ ที่ที่ฉันจากมามี…"  
             "….มีนางนวลเป็นพันๆ ฉันรู้ดี" ซัลลิแวนส่ายหัว "คําตอบคําเดียวที่ฉันพอจะเห็น โจ นาธาน คือว่าเธอเป็นนกหนึ่งในล้านทีเดียว พวกเราส่วนมากมาที่นี่ช้าเหลือเกิน เราไปจากโลก หนึ่งสู่อีกโลกหนึ่งที่เกือบจะเหมือนกันหมด แล้วก็ลืมที่ที่เราจากมาทันที ไม่สนใจว่าเราจะไป ไหน เราอยู่เพื่อขณะใดขณะหนึ่ง เธอรู้ไหมว่าสักกี่ชาติที่เราต้องผ่านมาก่อนที่เราจะได้คิดเป็น ครั้งแรกว่า ชีวิตมีความหมายมากกว่าการกิน การแย่งชิง หรืออํานาจในฝูงนก? ตั้งพันชาติ โจ นาธาน หมื่นชาติ! แล้วก็อีกหนึ่งร้อยชาติที่จะได้ความคิดความหมายในการดํารงชีวิตของเรา คือ การแสวงหาความเป็นเลิศอันนั้นและเผยแพร่ต่อไป กฎเกณฑ์อย่างเดียวกันนี้ตกอยู่กับเรา ในปัจจุบันแน่นอน เราเลือกโลกหน้าของเราจากสิ่งที่เราเรียนรู้ในโลกนี้ เมื่อไม่เรียนรู้อะไร โลกหน้าก็เป็นเหมือนโลกนี้ มีข้อจํากัดเหมือนๆ กันและสร้างภาระให้ต้องเอาชนะ" ซัลลิแวน เหยียดปีกออกและหันหน้าไปทางลม  
             "แต่เธอ จอน" มันพูดขึ้น "เธอเรียนรู้มหาศาลเพียงเวลานิดเดียว เธอไม่ต้องผจญผ่าน ตั้งพันชาติเพื่อมาถึงชาตินี้"  
 
             ชั่วขณะต่อมานางนวลทั้งสองก็ขึ้นไปลอยอยู่ในอากาศอีกครั้ง ฝึกฝนการบินกลิ้งคู่นั้น ยากยิ่งเพราะโจนาธานต้องคิดเวลาตีลังกากลับครึ่ง กลับโค้งมุมปีก และกลับให้พร้อมเพรียงกับ ครูผู้สอน  
             "ลองดูอีกที" ซัลลิแวนพูดครั้งแล้วครั้งเล่า "ลองอีกที"               แล้วในที่สุด  
             "ดี"    และนางนวลทั้งสองก็เริ่มฝึกบินวงนอก  
 
 
             เย็นวันหนี่ง บรรดานางนวลที่ไม่ได้บินกลางคืนยืนรวมกันอยู่บนหาดทราย และต่างก็ คิด โจนาธานรวบรวมความกล้าทั้งหมดไว้เดินเข้าไปหานางนวลผู้ใหญ่ตัวที่พูดกันว่า จะไปพ้น โลกนี้ในไม่ช้า  
             "เจียง.." โจนาธานกล่าวขึ้น ประหม่าเล็กน้อย               นางนวลเฒ่ามองโจนาธานอย่างเมตตา              "ว่าไงลูก" แทนที่จะอ่อนเรี่ยวแรงโดยอายุขัย นางนวลผู้ใหญ่ กลับมีพลัง มันสามารถ บินได้เหนือนางนวลใดๆ ในฝูง และมันได้เรียนรู้ความชํานิชํานาญที่นางนวลอื่นๆ เพิ่งจะเริ่มรู้ ทีละเล็กละน้อย  
             "เจียง โลกนี้ไม่ใช่สวรรค์เลย ใช่ไหม?"               นางนวลผู้ใหญ่ยิ้มภายใต้แสงจันทร์  
             "เธอกําลังเรียนรู้อีกแล้วนางนวลโจนาธาน" มันพูดขึ้น  
             "เอ้อ อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่นี้? เรากําลังจะไปไหนกัน ไม่มีที่ที่เป็นสวรรค์หรอก หรือ?"  
             "ไม่มี โจนาธาน ไม่มีที่ที่เป็นสวรรค์ดอก สวรรค์ไม่ใช่สถานที่ และก็ไม่ใช่กาลเวลา สวรรค์คือความเป็นเลิศ" เจียงเงียบไปชั่วขณะ  
             "เธอเป็นผู้บินเร็วมาก ใช่ไหม?"  
             "ฉัน…ฉันชอบความเร็ว" โจนาธานเอ่ยขึ้นตะกุกตะกัก แต่ก็ภูมิใจที่นางนวลผู้ใหญ่ สังเกตเห็น  
             "เธอจะเริ่มสัมผัสสวรรค์ โจนาธาน เมื่อถึงเวลาที่เธอสัมผัสความเร็วเลิศนั้น และนั่น ไม่ใช่การบินด้วยความเร็วหนึ่งพันไมล์ต่อชั่วโมง หรือหนึ่งล้านไมล์ หรือบินด้วยความเร็วของ แสง เพราะว่าไม่ว่าจํานวนใดก็เป็นขอบเขตจํากัด และความเป็นเลิศไม่มีขอบเขต ความเร็วเลิศลูกรัก คือการไปถึงที่นั่น"  
             โดยปราศจากสัญญาณใดๆ เจียงหายวับไปและปรากฎตัวใหม่อยู่ที่ขอบน้ําห้าสิบฟุต ไกลออกไป ทั้งหมดนี้ทําเพียงแค่แวบเดียวของชั่วขณะหนึ่ง เจียงหายวับอีกครั้งและกลับมา เคียงข้างไหล่ของโจนาธาน ในเวลาเพียงมิลลิวินาทีเช่นกัน "สนุกดี" เจียงว่า โจนาธานงงไป หมด มันลืมที่จะถามเรื่องสวรรค์  
             "เธอทําอย่างนั้นได้อย่างไร แล้วรู้สึกอย่างไร เธอไปได้ไกลแค่ไหน"  
             "เธอไปที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ตามที่เธอปรารถนาจะไป" นางนวลผู้ใหญ่กล่าวตอบ "ฉันได้ไปมาแล้วทุกหนทุกแห่ง และทุกกาลเวลาที่ฉันพอจะคิดได้" เจียงมองข้ามท้องทะเล ออกไป " มันประหลาด นางนวลที่เยาะเย้ยความเป็นเลิศเพื่อที่จะได้ไปเที่ยว กลับไม่ได้ไปไหน แล้วก็เชื่องช้า ผู้ที่พักการเที่ยวไว้เพื่อแสงหางความเป็นเลิศ ไปไหนก็ได้ และก็รวดเร็วฉับพลัน จําไว้ โจนาธาน สวรรค์ไม่ใช่สถานที่หรือกาลเวลา เพราะสถานที่และกาลเวลาไร้ความหมายยิ่ง นัก สวรรค์คือ..ง"  
             "เธอสอนฉันให้บินอย่างนั้นได้ไหม" นางนวลโจนาธานสั่นสะท้านที่จะพิชิตความไม่รู้ อีกอันหนึ่ง  
             "แน่นอน ถ้าเธออยากจะเรียน"  
             "ฉันอยาก เราจะเริ่มกันได้เมื่อไร"  
             "เราเริ่มเดี๋ยวนี้ก็ได้ ถ้าเธอต้องการ"  
             "ฉันอยากเรียนที่จะบินแบบนั้น" โจนาธานพูด และแสงประหลาดวูบวาบขึ้นใน ดวงตาของมัน "บอกฉันซิว่าจะทําอย่างไร" เจียงพูดขึ้นอย่างช้าๆ และเฝูาดูเจ้านางนวลหนุ่ม อย่างใกล้ชิดยิ่ง  
             "การที่จะบินให้เร็วเท่าความนึกคิด ไปที่ไหนก็ได้คือ" เจียงกล่าว "เธอจะต้องเริ่มด้วย ความคิดที่ว่าเธอได้ไปถึงแล้ว…" ตามที่เจียงว่า เคล็ดลับก็คือโจนาธานต้องเลิกมองตนเองว่าถูกกักอยู่ในร่างกายที่จํากัดเพียงสี่สิบสองนิ้วฟุตของความยาวของปีกหรือข้อจํากัดของการบินที่ ตราไว้บนตาราง เคล็ดลับก็คือ จะต้องรู้ถึงธรรมชาติที่แท้จริงของตนเอง อยู่ได้ทุกๆ แห่งใน ฉับพลัน ข้ามพ้นสถานที่และกาลเวลา และเป็นเลิศเสมือนเลขที่ไม่มีตัวเขียน  
 
 
             วันแล้ววันเล่า โจนาธานเฝูาฝึกฝนอย่างทรหดตั้งแต่ก่อนตะวันขึ้นจนเลยเที่ยงคืน และด้วยความมานะทั้งหมดโจนาธานมิได้ขยับเขยื้อนจากตําแหน่งที่ของมันแม้แต่ช่วงขนเดียว       "ลืมความศรัทธาซะ!" เจียงพูดแล้วพูดอีก "เธอไม่ต้องศรัทธาเพื่อจะบิน เธอต้องการ ความเข้าใจการบิน นี่ก็เหมือนเดิมอีก ลองใหม่อีกทีซิ.."  
 
 
             ต่อมาวันหนึ่ง โจนาธานยืนอยู่ที่ชายฝั่ง หลับตา สํารวม ทันใดนั้นมันก็รู้สิ่งถึงสิ่งที่เจียง ได้บอกมันไว้  
            "ทําไม ใช่แล้ว ฉันเป็นเลิศ เป็นนางนวลที่ไม่มีขอบเขตจํากัด!" มันรู้สึกตระหนกด้วย ความยินดียิ่งนัก  
             "ดีแล้ว!" เจียงดูมีชัยชนะในน้ําเสียงของมัน  
             โจนาธานลืมตาขึ้น มันมายืนโดดเดี่ยวอยู่กับนางนวลผู้ใหญ่บนชายฝั่งประหลาดอีก แห่ง ต้นไม้ระลงไปที่ริมขอบน้ํา ดวงตะวันสีเหลืองสองดวงหมุนเวียนอยู่เหนือหัว        "ในที่สุดเธอก็ได้ความคิด" เจียงว่า "แต่การบังคับของเธอต้องฝึกฝนหน่อย…"               โจนาธานงุนงง "เราอยู่ที่ไหนนี่" นางนวลผู้ใหญ่ปัดคําถามนั้นไป โดยที่ไม่ตื่นเต้นกับ สภาพแวดล้อมที่ประหลาดนั้น  
             "ก็เห็นได้ชัดนี่ เราอยู่บนดาวพระเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีท้องฟูาสีเขียว และมีดาวสอง
ดวงแทนดวงตะวัน" โจนาธานส่งเสียงด้วยความดีใจ  
             เป็นครั้งแรกที่มันส่งเสียงร้องนับแต่จากโลกมา  
             "ได้ผล"  
             "ใช่ แน่นอนมันได้ผล จอน" เจียงพูด "มันได้ผลเสมอเมื่อเธอรู้ว่ากําลังทําอะไรอยู่ ทีนี้ เรื่องการบังคับของเธอ…."  
 
 
             เมื่อถึงตอนที่นางนวลทั้งสองกลับก็มืดแล้ว นางนวลอื่นๆ มองโจนาธานด้วยดวงตาสี ทองอย่างประหลาดใจ เพราะพวกนี้ได้เห็นโจนาธานหายไปจากที่ที่มันได้มาอยู่เป็นเวลานาน โจนาธานยืนรับการอวยพรนั้นเพียงไม่ถึงนาที  
             "ฉันเป็นผู้มาใหม่ที่นี่! ฉันเพิ่งจะเริ่มต้น! ฉันเป็นผู้ที่ต้องเรียนรู้จากเธอๆ !"  
             "ฉันไม่แน่ใจเรื่องนั้น จอน" ซัลลิแวนซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ พูดขึ้น "เธอมีความหวาดกลัวที่ จะเรียนน้อยกว่านางนวลใดๆ ที่ฉันเคยเห็นมาในเวลาหมื่นปี" ฝูงนางนวลนิ่งเงียบ และโจ นาธานก็อายอึกอักอยู่  
             "เราเริ่มฝึกเกี่ยวกับกาลเวลาได้แล้ว ถ้าเธอต้อง" เจียงกล่าวขึ้น "จนกระทั่งเธอ สามารถบินอดีตและอนาคตได้ และเมื่อนั้นเธอจะได้พร้อมที่จะเริ่มสิ่งที่ยากที่สุด มีพลังที่สุด และสนุกที่สุด เธอจะพร้อมที่จะเริ่มบินขึ้น และรู้ถึงความหมายของความเมตตาและความรัก"  
 
             หนึ่งเดือน หรือไม่ก็สิ่งที่รู้สึกคล้ายๆ กับเวลาหนึ่งเดือนผ่านไป โจนาธานเรียนรู้เร็ว จากประสบการณ์ธรรมดาๆ และถึงตอนนี้นักเรียนพิเศษของนางนวลผู้ใหญ่เอง ก็ได้ความคิด ใหม่มาราวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนเพรียวลม แต่แล้ววันที่เจียงจะหายวับไปก็มาถึง เจียงกําลัง คุยอย่างเงียบๆ อยู่กับบรรดานางนวลทั้งหมด กระตุ้นให้พวกนั้นไม่หยุดยั้งการเรียนรู้ ฝึกฝน พิชิต เพื่อที่จะได้เข้าใจหลักการแห่งชีวิตทั้งมวลที่เป็นเลิศและมองไม่เห็นยิ่งขึ้น และแล้วขณะที่ มันพูดอยู่ ขนของเจียงก็สดใสขึ้นๆ จนในที่สุดบรรเจิดจ้ากระทั่งไม่มีนางนวลใดมองตัวเจียงได้  
             "โจนาธาน" เจียงพูด และก็เป็นคําสุดท้ายที่มันพูด  
             "จงฝึกความรักเอาไว้"  
 
             เมื่อนางนวลทั้งหลายมองอีกครั้งหนึ่ง เจียงก็หายไปเสียแล้ว ในขณะที่วันคืนผ่านไป โจนาธานรู้สึกว่าตนกําลังคิดถึงโลกที่มันจากมาครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าหากว่ามันรู้เมื่ออยู่ที่โน่น เพียงหนึ่งในสิบ หนึ่งในร้อยของที่นี่ ชีวิตคงจะมีความหมายมากมายเหลือเกิน!  
 
             โจนาธานยืนอยู่บนหาดทราย และสงสัยว่าจะมีนางนวลสักตัวที่โน่นไหมที่กําลังต่อสู้ เพื่อฟันฝุาเขตวงจํากัดออกมา เพื่อที่จะพบความหมายของการบินนอกเหนือไปจากบินไปเอา เศษขนมปังจากเรือกรรเชียง บางทีอาจจะมีนกสักตัวที่ถกูขับเป็นตัวหัวเน่าไปแล้วก็ได้ ใน ฐานะที่พูดความจริงต่อหน้าฝูงนางนวล และยิ่งโจนาธานฝึกบทความเมตตามากขึ้นเท่าใด ฝึก เรียนรู้ธรรมชาติของความรักขึ้นเท่าใด มันก็อยากกลับไปยังโลกมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่ามันจะมี อดีตที่เปล่าเปลี่ยว โจนาธาน ก็เกิดมาเพื่อเป็นครูผู้สอน และหนทางที่มันจะเสนอความรักได้ก็ คือให้ความจริงบางประการที่มันได้พบเห็น ให้ต่อนางนวลสักตัวที่ร้องขอแต่เพียงโอกาสที่จะ ค้นหาความจริงให้ตนเอง ซัลลิแวนซึ่งบัดนี้ช่ําชองในการบินความเร็วความคิดและกําลังช่วย นกอื่นๆ ให้เรียนรู้อยู่ ยังสงสัยนัก  
             "จอน ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นตัวหัวเน่า ทําไมเธอถึงคิดว่านางนวลครั้งก่อนเก่าของเธอ จะรับฟังเธอในตอนนี้ เธอรู้สุภาษิตที่เป็นจริงว่า : นางนวลที่บินสูงที่สุด ย่อมมองเห็นไกลที่สุด นางนวลที่เธอจากมาเหล่านั้นได้แต่ยืนบนพื้นทราย ร้องเอะอะแย่งชิงในหมู่กันเองพวกนั้นอยู่ ห่างไกลสวรรค์ตั้งพันไมล์แล้ว เธอว่าเธออยากจะแสดงให้เขาเห็นถึงสวรรค์จากที่ที่เขายืนอยู่! จอน พวกนั้นมองแม้แต่ปลายปีกของตนก็ไม่เห็น! อยู่ที่นี่เถิด ช่วยนางนวลใหม่ๆ ที่นี่ นางนวล ที่สูงส่งพอที่จะเห็นสิ่งที่เธอบอกให้เขาฟัง"  
             ซัลลิแวนเงียบไปชั่วครู่ แล้วพูดขึ้นอีกว่า "ถ้าหากว่าเจียงกลับไปโลกของเขา เสียก่อน? เธอจะเป็นอย่างไรในวันนี้?"               จุดสุดท้ายนั้นแจ่มแจ้งนัก และซัลลิแวนพูดถูก นางนวลที่บินสูงที่สุด ย่อมมองเห็น ไกลที่สุด โจนาธานอยู่ต่อไปและช่วยฝึกนกใหม่ๆ ที่เข้ามา พวกนั้นทั้งหมดฉลาดและรวดเร็ว ในบทเรียนอย่างยิ่ง แต่ความรู้สึกเก่าก็กลับมาอีก โจนาธานช่วยไม่ได้ที่จะคิดว่าอาจจะมี นางนวลสักตัวหรือสองตัวบนพื้นโลก ที่สามารถเรียนรู้ได้ โจนาธานคงจะได้เรียนรู้มากมาย แล้วในบัดนี้ถ้าหากเจียงได้ไปหามันวันที่มันถูกขับเป็นตัวหัวเน่า!  
             "ซัลลี่ ฉันต้องกลับไป" โจนาธานพูดขึ้นในที่สุด "นักเรียนของเธอกําลังทําได้ดี เขาจะ
ช่วยเธอฝึกนกตัวใหม่ๆ ได้ต่อไป" ซัลลิแวนถอนหายใจแต่มิได้โต้แย้ง  
             "ฉันคิดว่าคงจะคิดถึงเธอ โจนาธาน" มันพูดแค่นั้น  
             "ซัลลี่ น่าอาย!" โจนาธานพูดขึ้นอย่างตําหนิ "แล้วก็อย่าเหลวไหล! เรากําลังพยายาม ฝึกทําอะไรอยู่ทุกวันๆ? ถ้าหากมิตรภาพของเราขึ้นอยู่กับสิ่งที่เป็นสถานที่และกาลเวลา และ เมื่อเราพิชิตสถานที่และกาลเวลาได้ในที่สุด เราก็ทําลายภราดรภาพของเราเอง! แต่เมื่อเราพิชิต สถานที่เราก็จะเหลือแต่ ที่นี่ เมื่อเราพิชิตกาลเวลา เราก็เหลือแต่ปัจจุบันและในระหว่างกลาง ของ ที่นี่ และ ปัจจุบัน เธอไม่คิดหรือว่าเราอาจจะได้พบกันอีกสักครั้งหรือสองครั้ง?"  
             นางนวลซัลลิแวนหัวเราะขึ้นทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ควร  
             "เธอนกบ้า" มันพูดขึ้นอย่างใจดี "ถ้าจะมีใครสักตัวที่จะทําให้ผู้อยู่บนพื้นโลกเห็นได้
ไกลออกไปสักพันไมล์ ก็คงจะเป็นนางนวล : โจนาธาน ลิฟวิงสตัน นั่นเอง"               ซัลลิแวนมองดูพื้นทราย  
             "ลาก่อน จอนเพื่อนฉัน"  
             "ลาก่อน ซัลลี่ เราจะพบกันอีก"  
 
             และดังนั้น โจนาธานก็วาดมโนภาพนางนวลกลุ่มใหญ่บนชายหาดของอีกกาลเวลา หนึ่ง และมันรู้ได้โดยง่ายดังที่ฝึกฝนไว้ว่าตัวมันนั้นไม่ใช่กระดูกและขน แต่เป็นความนึกคิดอัน สมบูรณ์ด้วยอิสรภาพและการบิน ไม่มีอะไรเป็นข้อจํากัดแต่อย่างใด  
......................................  
 
 
 
                นางนวลเฟลทเชอร์ ลินด์ยังเป็นหนุ่มน้อย แต่มันก็รู้ว่าไม่มีนกใดๆ เคยถูก ปฏิบัติตอบอย่างรุนแรงโดยฝูงนกหรืออย่างไร้ความยุติธรรมยิ่งเท่ามัน  
 
               "ฉันไม่แคร์ว่าพวกนั้นจะพูดว่าอะไร"  
               มันคิดอย่างหนักหน่วงและสายตามันก็พร่าเมื่อบินออกไปสู่ หน้าผาโพ้น                 "การบินมีอะไรๆ มากมายกว่าเพียงการกระพือปีก จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง! ย…ย…ยุง ก็ทําอย่างนั้นได้ ฉันเพียงแต่บินหมุนสว่านเล่นรอบๆ นางนวลผู้ใหญ่นิดเดียว เพื่อความสนุก เท่านั้น ฉันก็กลายเป็นตัวหัวเน่า พวกนั้นตาบอดกระมัง พวกนั้นมองไม่เห็นหรือ พวกนั้น คิดถึงความรุ่งโรจน์ที่จะมีมาเมื่อเราเรียนรู้การบินอย่างจริงจังไม่ได้หรือ  
               "ฉันไม่แคร์ว่าพวกนั้นจะคิดอย่างไร ฉันจะแสดงให้เขาเห็นว่าการบินเป็นอย่างไร ฉันจะแสดงให้เขาเห็นว่าการบินเป็นอย่างไร! ฉันจะเป็นตัวนอกกฎนอกเกณฑ์จริงๆ ถ้าเขา ต้องการแบบนั้น และฉันจะทําให้เขาเสียใจนักเชียว…"  
 
               เสียงหนึ่งดังเข้ามาในหัวของเฟลทเชอร์ ลินด์ แม้ว่าเสียงนั้นจะอ่อนโยน แต่ก็ทําให้ มันตกใจมากจนชะงักและสะดุดอยู่กลางอากาศ  
               "อย่างรุนแรงกับพวกเขานัก นางนวลเฟลทเชอร์ การขับไสเธออกมานั้นนางนวล อื่นๆ ได้ทําร้ายตนเอง และสักวันหนึ่งพวกนั้นจะรู้ และสักวันหนึ่งพวกนั้นจะเห็นสิ่งที่เธอเห็น อภัยให้เข้า และจงช่วยให้เขาเข้าใจ"                 นางนวลที่ขาวสดใสที่สุดในโลกกําลังบินอยู่ห่างจากปลายปีกขวาของเฟลทเชอร์ เพียงหนึ่งนิ้ว ร่อนเรียงมาโดยปราศจากความพยายามใดๆ ไม่ขยับขนแม้แต่เส้นเดียว และก็ บินเกือบเท่าความเร็วสูงสุดของเฟลทเชอร์ มันเป็นชั่วขณะของความปั่นปุวนต่อเจ้านกหนุ่ม  
               "เกิดอะไรขึ้น ฉันบ้าไปหรือ ฉันตายไปแล้วหรืออะไรนี่"  
               เสียงนั้นดังเข้ามาอีกในความคิดของเฟลทเชอร์ ทุ้มและนุ่มนวล และถามหาคําตอบ ขึ้น  
               "เฟลทเชอร์ ลินด์นางนวลเธออยากบินไหม"  
               "ใช่ ฉันอยากบิน!" "เฟลทเชอร์ ลินด์ นางนวล  
               " เธออยากบินมากกระทั่งเธอจะอภัยให้ฝูงนก เรียนรู้ และกลับไปหาพวกเขาสักวัน หนึ่ง และช่วยให้เขารู้ใช่ไหม"  
 
               ไม่ว่านางนวลเฟลทเชอร์จะทะนงหรือปวดร้าวสักเท่าใด มันก็ไม่มีความโปูปด มดเท็จต่อเจ้านกที่ชํานิชํานาญวิเศษนั้น  
               "ใช่" มันตอบอย่างอ่อนโยน  
               "เอาล่ะ เฟลทเชอร์" เจ้าสัตว์สุกใสพูดกับมัน น้ําเสียงกรุณายิ่งนัก                 "เรามาเริ่มต้นด้วยการบินระดับตรง…"  
 ตอนสาม  
โจนาธานบินเป็นวงกลมข้างๆ เหนือหน้าผาโพ้น แล้วก็เฝูาดู  
 
                เจ้านางนวลหนุ่มกร้าวเฟลทเชอร์เป็นนักเรียนบินที่เกือบเป็นเลิศ มันแข็งแรง เบา และเร็วในอากาศแต่ที่สําคัญยิ่งกว่านั้นมันมีพลังคุกรุ่นที่จะเรียนรู้การบิน                  แล้วในนาทีนั้นรูปร่างรางๆ สีเทาหม่นก็พุ่งดิ่งโครมครามเข้ามา พุ่งผ่านครูผู้สอน ด้วยความเร็วหนึ่งร้อยห้าสิบไมล์ต่อชั่วโมง มันดึงตัวอย่างทันควันเพื่อลองอีกครั้งด้วยการบิน กลิ้งอย่างช้าเป็นแนวตั้งนับสิบหก ส่งเสียงนับออกดังก้อง  
               "…แปด…เก้า…สิบ…เห็นไหม-โจนาธาน-ฉันกําลังบินสุดยอดความเร็วอากาศ…สิบ เอ็ด…ฉันอยากหยุด-แน่ๆ-ดีๆ อย่างเธอ สิบสอง…แต่-บ้าจัง-ฉัน-ทํา-ไม่ได้…สิบสาม…เหลือสาม หลักสุดท้าย…ไม่มี…สิบสี่…โอ๊ะ!"       การบินชะงักของเฟลทเชอร์ตอนจะสุดยอดนี้ทําให้มันโมโหโกรธาอย่างล้นเหลือที่ ล้มเหลวได้มันถลาไปข้างหลังหกคะเมนคว่ำรุนแรงและหมุนตัวกลับติ้ว แล้วมันก็ตั้งหลักได้ใน ที่สุด สั่นสะท้านอยู่ใต้ระดับหนึ่งร้อยฟุตจากครูผู้สอนของมัน  
                "โจนาธาน เธอกําลังมาเสียเวลากับฉัน ฉันโง่เกินไป! ฉันเซ่อเกินไป! ฉันพยายาม แล้วพยายามเล่า แต่จะฉันคงจะทําไม่สําเร็จ!"  
                นางนวลโจนาธานมองลงไปที่มันแล้วก็พยักหน้า  
                 "เธอคงทําไม่สําเร็จแน่ๆ ถ้าเธอยังคงดึงตัวแข็งอย่างนั้น เฟลทเชอร์ เธอเสียไปตั้งสี่ สิบไมล์ต่อชั่วโมงตอนออกบิน! เธอต้องนุ่มนวล! แข็งแกร่งแต่นุ่มนวล จําได้ไหม"  
 
 
                 เมื่อสิ้นสามเดือนโจนาธานมีนักเรียนอีกหกตัว ทั้งหมดเป็นพวกหัวเน่า แต่ก็ กระหายที่จะเรียนรู้ความคิดแปลกๆ ใหม่ๆ เกี่ยวกับการบิน เพื่อความเริงรื่นแห่งการบิน  กระนั้นก็ตาม เป็นการง่ายสําหรับพวกนี้ที่จะฝึกบินชั้นสูงได้ดีกว่าที่จะเข้าใจเหตุผลที่มีอยู่ เบื้องหลังการบินนั้น  
                 "พวกเราแต่ละตัวโดยที่จริงเป็นความนึกคิด ของ นางนวลที่ยิ่งใหญ่ เป็นความนึก คิดของอิสระเสรีที่ไม่มีขอบเขตจํากัด" โจนาธานมักจะพูดเช่นนั้นตอนเย็นๆ บนชายหาด "และ การฝึกบินเป็นขั้นตอนไปสู่การแสดงออกถึงธรรมชาติอันแท้จริงของเรา อะไรก็ตามที่จะมา จํากัดเรา เราต้องปัดออกไปเสีย และการฝึกความเร็วสูง ความเร็วต่ำ การบินกายกรรมใน อากาศก็เพื่อเหตุผลที่ว่า…."  
                …และนักเรียนของโจนาธาน ก็จะหลับผลอยเหน็ดหนื่อยจากการบินทั้งวัน  
 
                 พวกนักเรียนชอบการฝึกเพราะมันเร็วและน่าตื่นเต้น การฝึกตอบสนองความ กระหายที่จะเรียนรู้ซึ่งเพิ่มมากขึ้นๆ ทุกๆ บทเรียน แต่ไม่มีสักตัวเดียว แม้แต่นางนวลเฟลท เชอร์ ลินด์ ที่จะเกิดความเชื่อมั่นว่าการบินด้วยความนึกคิดจะเป็นเรื่องจริงจังเหมือนกับการบิน ด้วยลมและขน  
 
                 "ร่างกายของเธอทั้งหมด จากปลายปีกหนึ่งไปสุดอีกปีกหนึ่ง" โจนาธานมักจะพูด ขึ้นบางขณะ "ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากความคิดของเธอเอง มันเป็นรูปร่างที่เธอมองเห็นเมื่อเธอ ตัดโซ่ตรวนออกจากความคิดได้ เธอก็ตัดโซ่ตรวนนั้นออกจากร่างกายได้ด้วย…"                   แต่ไม่ว่าโจนาธานจะพูดว่าอย่างไร มันก็ฟังคล้ายๆ นิยายสนุกๆ เท่านั้น พวก นักเรียนต้องการที่จะนอนมากกว่า  
 
                 อีกหนึ่งเดือนต่อมาโจนาธานพูดว่า ถึงเวลาแล้วที่จะกลับไปหาฝูงนางนวล                  "เรายังไม่พร้อม!" นางนวลเฮนรี่ แคลวินพูดขึ้น "เราไม่ได้รับการต้อนรับ! เราเป็น พวกหัวเน่า! เราจะบังคับตัวเองให้ไปที่ที่เราไม่ได้รับการต้อนรับไม่ได้ ใช่ไหม"  
                "เรามีอิสระที่จะไปที่ไหนที่เราต้องการได้ และก็เป็นอย่างที่เราเป็นอยู่อย่างนี้" โจ นาธานตอบ มันบินขึ้นจากพื้นทรายมุ่งไปทางตะวันออกตรงไปยังถิ่นฐานของฝูงนางนวล  บรรดานักเรียนของโจนาธานงุนงง และปวดร้าวอยู่ขณะหนึ่งเพราะมีกฎของฝูงว่า ตัวหัวเน่า จะกลับไปอีกไม่ได้และกฎนี้ก็ไม่เคยถูกทําลายแม้แต่ครั้งเดียวในเวลาตั้งหมื่นปี กฎบอกว่าให้ อยู่ โจนาธานบอกว่าให้ไป และตอนนี้โจนาธานก็บินข้ามผืนน้ําไปได้หนึ่งไมล์แล้ว ถ้าพวกมัน รีรอต่อไปอีกโจนาธานก็คงไปถึงฝูงนกที่ไม่เป็นมิตรด้วยตัวคนเดียว  
 
                "เอาละ เราไม่จําเป็นจะต้องเชื่อกฎถ้าเราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของฝูงนกใช่ไหม" เฟลทเชอร์พูดขึ้นอย่างมีสติ "นอกจากนั้น ถ้าเกิดต่อสู่กันขึ้น เราก็จะมีผู้ไปช่วยกันที่โน่น มากกว่าที่นี่"  
 
                 และพวกมันทั้งหมดก็บินออกจากทิศตะวันตกในเช้าวันนั้น บินเป็นรูปข้าวหลาม ตัดซ้อนกันทั้งแปดตัว ปลายปีกเกือบจะจรดกันพวกมันบินข้ามมายัง สภาชายหาดของฝูงด้วย ความเร็วหนึ่งร้อยสามสิบห้าไมล์ต่อชั่วโมง โจนาธานนําหมู่ เฟลทเชอร์บินอย่างนุ่มนวลอยู่ทาง ปีกขวา เฮนรี่แคลวินมาทางซ้ายอย่างกล้าหาญ แล้วทั้งฝูงก็ร่อนอย่างช้าๆ ไปทางเบื้องขวา ทีละ ตัว….ได้ระดับ….หมุนกลับ…เป็นระดับ สายลมกระพืออยู่เหนือพวกมัน  
                เสียงกรี๊ดกร๊าดเจี๊ยวจ๊าวอันเปนชีวิตประจําวันของฝูงนกถูกตัดขาดราวกับว่ากลุ่ม ของโจนาธานเป็นเสมือนมีดยักษ์ใหญ่ และแล้วดวงตาทั้งแปดพันดวงของบรรดานางนวลก็จ้อง แป๋วโดยไม่กะพริบเจ้านกทั้งแปดโผบินขึ้นตั้งตรงทีละตัว บินโค้งกลมลงมายืนตรงแน่วอยู่บน พื้นทราย  
 
                 และเหมือนกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจํา แต่ละวันนางนวลโจนาธานเริ่มต้นการ วิพากษ์เกี่ยวกับการบิน  
                "การเริ่มต้น" โจนาธานกล่าวขึ้นอย่างยิ้มเยาะ "พวกเธอทั้งหมดเข้ามาร่วมช้าไป หน่อย…"                   มันเหมือนกับสายฟูาฟาดผ่านฝูงนางนวล เจ้านกพวกโน้นเป็นพวกหัวเน่า! และ มันได้กับมาแล้ว และนั้น..นั่นเป็นไปไม่ได้! การต่อสู้ที่เฟลทเชอร์คาดไว้ล่วงหน้ากลับหลอม ละลายไปกับความสับสนงุนงงของฝูงนก  
                "เอาล่ะ โอเค พวกนั้นอาจเป็นพวก หัวเน่า" นางนวลวัยรุ่นบางตัวกล่าวขึ้น "แต่ พวกนั้นไปเรียนวิธีบินแบบนั้นมาจากไหนในโลกนี้นะ?  
 
                 เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าที่คําสั่งของ นางนวลผู้ใหญ่ จะส่งผ่านฝูงนกว่าอย่า สนใจพวกนั้น นางนวลตัวใดที่พูดกับตัวหัวเน่าจะต้องเป็น หัวเน่า ไปด้วย นางนวลที่นิยมชม ชื่นตัวหัวเน่าเป็นผู้ทําลาย กฎของฝูง                  นกขนสีเทาหันหลังให้กับโจนาธานนับแต่บัดนั้นเป็นต้นไปแต่โจนาธานดูจะไม่ให้ ความสังเกต มันเริ่มต้นบทเรียนฝึกบินเหนือสภาชาดหาด และเริ่มหนุนให้นักเรียนของมันทํา อย่างสุดความสามารถเป็นครั้งแรก  
                "นางนวลมาร์ติน!" โจนาธานตะโกนก้องท้องฟูา "เธอว่าเธอรู้เรื่องการบินความเร็ว ต่ํา เธอไม่รู้อะไรเลยจนกว่าเธอจะพิสูจน์ให้เห็น! บิน"                  ดังนั้น นางนวลน้อยมาร์ติน วิลเลี่ยม ผู้เงียบขรึมก็งุนงงที่โดนครูผู้สอนตะโกนว่า มันงงที่ตัวเองได้กลายเป็นผู้วิเศษแห่งความเร็วต่ํา มันสามารถโค้งขนพยุงตัวขึ้นในลมที่เบา บางที่สุด โดยไม่ต้องตีปีกแม้แต่ครั้งเดียวที่จะขึ้นจากพื้นทรายไปสู่เมฆแล้วก็กลับลงมาอีกครั้ง                  นางนวลชาลส์-โรแลนด์ก็เหมือนกัน มันบินไปกับลมภูผาใหญ่ด้วยความสูงสอง หมื่นสี่พันฟุตและกลับมาอย่างสะท้านสั่นจากบรรยากาศที่หนาวเย็นและเบาบาง มันประหลาด ใจ สุขใจ และตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะบินให้สูงกว่านั้นอีก  
 
                 นางนวลเฟลทเชอร์นั้นรักการบินกายกรรมมากกว่าใครทั้งหมด มันพิชิตการบิน กลิ้งตรงช้านับสิบหก และในวันต่อมามันก็ทําได้ดียิ่งขึ้นด้วยการกระโดยใช้ปีกยันขาชี้ถึงสาม ทอดของขนมัน ส่งประกายราวแสงแดดสีขาวไปยังชายหาดซึ่งมีดวงตาลับๆ ล่อๆ มากกว่าหนึ่ง ดวงเฝูามองอยู่  
 
                ทุกๆ ชั่วโมงโจนาธานจะอยู่เคียงข้างนักเรียนแต่ละตัวของมัน แสดงให้ดู เสนอแนะ กระตุ้นเตือน นําทางให้มัน บินไปกับพวกนักเรียนผ่านยามค่ําคืน หมอกเมฆ และพายุอย่างรื่น เริง ในขณะที่ฝูงนกต้องขดตัวทนทุกข์อยู่บนพื้นโลก                  เมื่อการบินจบลง บรรดานักเรียนจะพักผ่อนอยู่บนพื้นทรายและในเวลานั้นพวกมัน จะฟังโจนาธานอย่างตั้งอกตั้งใจ โจนาธานมักจะมีความคิดประหลาดๆ ที่พวกมันไม่เข้าใจ แต่ บางครั้งโจนาธานก็มีความคิดดีที่มันเข้าใจได้  
 
                 ในที่สุด ตอนกลางคืน นกอีกกลุ่มก็เข้ามาห้อมล้อมกลุ่มนักเรียน เจ้านางนวลกลุ่มที่ อยากรู้อยากเห็นนี้จะยืนฟังอยู่ในความมืดเป็นชั่วโมงๆ จนจบ มันไม่อยากที่จะเห็นหรือให้ใคร เห็น และมันจะค่อยๆ หายไปก่อนเวลาเช้า  
 
                 เป็นเวลาหนึ่งเดือนหลังจากที่ได้กลับมา มีนางนวลตัวแรกจากฝูงที่ก้าวเข้ามา และ ร้องขอที่จะเรียนรู้การบิน นางนวลเทอร์เรน โลเวล ที่เข้ามาร้องขอนั้นก็กลายเป็นนกที่ถูก ประณามว่าเป็น ตัวหัวเน่า และเป็นนักเรียนตัวที่แปดของโจนาธาน คืนต่อมานางนวลเคิร์ก เมย์นาร์ด ก็ออกจากฝูงเดินโซเซมาบนพื้นทราย ลากปีกข้างซ้ายมาแล้วล้มลงที่เท้าของโจ นาธาน  
                 "ช่วยฉันด้วย" มันพูดอย่างแผ่วเบายิ่งนัก พูดอย่างผู้ที่จะตาย "ฉันอยากที่จะบิน มากกว่าสิ่งใดๆ ในโลก"  
                 "ก็มาด้วยกันซิ" โจนาธานตอบ "บินไปกับฉันให้ห่างพื้นทรายแล้วเราก็จะเริ่มต้น กัน"  
                "เธอไม่เข้าใจ ปีกของฉัน ฉันขยับปีกไม่ได้"  
                "นางนวลเมย์นาร์ด เธอมีอิสระที่จะเป็นตัวของตัวเอง ตัวเธอเองที่แท้จริง ที่นี่และ เดี๋ยวนี้ และไม่มีอะไรจะขัดขวางเธอได้ มันเป็นกฎของนางนวลที่ยิ่งใหญ่ กฎที่เป็นเช่นนั้น"  
                "เธอกําลังว่าฉันบินได้หรือ"  
                "ฉันว่าเธอมีอิสระ"  
 
                 ช่างง่ายและรวดเร็วเช่นนั้น นางนวลเคิร์ก เมย์นาร์ด กางปีกออกโดยไม่ต้องออก กําลัง และมันก็พยุงตัวขึ้นไปในอากาศอันมืดของยามค่ําคืน ฝูงนกตื่นขึ้นมาด้วยเสียงร้องของ นางนวลเมย์นาร์ด ซึ่งดังสุดเสียงตะโกนของมันจากความสูงห้าร้อยฟุต "ฉันบินได้ ฟังซีฉันบิน ได้!"  
                เมื่อดวงตะวันขึ้น มีนกเกือบพันตัวมายืนถัดจากกลุ่มนักเรียน ต่างมองดูเมย์นาร์ด อย่างสนอกสนใจ มันไม่แคร์ว่าจะถูกจ้องมองหรือไม่ และมันพยายามฟัง พยายามที่จะเข้าใจ นางนวลโจนาธาน  
 
                โจนาธานพูดถึงสิ่งง่ายๆ ว่าเป็นการถูกต้องสําหรับนางนวลที่จะบิน ว่าอิสระเสรีเป็น ธรรมชาติที่แท้จริงของตนเอง ว่าอะไรที่มาขวางกั้นอิสระเสรีภาพจะต้องโยนทิ้งไป ไม่ว่าจะ เป็นพิธีกรรม ความเชื่อโชคลาง หรือข้อจํากัดไม่ว่าจะมาในรูปใด  
                "โยนทั้งไป" ทั้งกลุ่มส่งเสียงขึ้น "แม้กระทั่งกฎของฝูงนกหรือ"  
                "กฎที่แท้จริงอันเดียวคือ กฎที่นําไปสู่อิสระเสรีภาพ" โจนาธานตอบ "ไม่มีกฎอื่น"                  "เธอหวังจะให้เราบินได้อย่างเธอได้อย่างไร" อีกเสียงหนึ่งกล่าวขึ้น "เธอนั้นพิศษ มี พรสวรรค์เป็นทิพย์เหนือนกอื่นใด"  
                "ดูเฟลทเชอร์! โลเวล! ชาลส์-โรแลนด์! ซิ พวกเขาพิเศษ มีพรสวรรค์ เป็นทิพย์ด้วย หรือ ไม่มากมายกว่าพวกเธอ ไม่มากกว่าฉัน ข้อแตกต่างมีอันเดียว มีอันเดียวเท่านั้น คือ พวก เขาเริ่มที่จะเข้าใจว่าที่จริงแล้วเขาเป็นอะไร และเริ่มที่จะฝึกฝนอันนั้น"  
                นักเรียนของโจนาธานยกเว้นเฟลทเชอร์ต่างขยับตัวอึกอัก พวกนั้นไม่ได้ตระหนัก ว่านั่นเป็นสิ่งที่พวกมันกําลังทําอยู่  
                ฝูงนกขยายขึ้นทุกวัน บ้างมาถามคําถาม บ้างมาบูชา บ้างมาดูแคลน  
 
 
                เช้าวันหนึ่งหลังจากการฝึกบินความเร็วพิสดาร เฟลทเชอร์บอกโจนาธานว่า                   "พวกนั้นกําลังกล่าวขวัญกันว่าถ้าเธอไม่ใช่บุตรของนางนวลที่ยิ่งใหญ่ เธอก็คงจะ อยู่ก่อนกาลเวลาของเธอเองสักพันปี"  
                โจนาธานถอนหายใจ มันคิดว่ารางวัลของการถูกเข้าใจผิดก็คือ จะถูกเรียกว่าเป็น ปิศาจหรือไม่ก็เป็นพระเจ้า  
                 "เธอล่ะคิดอย่างไรเฟลท เราอยู่ก่อนกาลเวลาของเราหรือ"                  เสียงเงียบไปนาน  
                 "เออ การบินแบบนี้มีอยู่เสมอสําหรับที่ใครก็ได้จะเรียนรู้ และใครก็ได้ที่ต้องการจะ ค้นพบ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องกาลเวลา บางทีเราคงจะนําในเรื่องรูปแบบ นําในเรื่องวิธีบินของนก ส่วนมาก"  
                 "นั่นน่าฟังดี" โจนาธานตอบ มันโผร่อนหมุนตัวกลับชั่วขณะหนึ่ง "นั่นไม่เลวเท่า ครึ่งหนึ่งของการอยู่ก่อนกาลเวลาของเรา"  
 
 
                 เหตุเกิดขึ้นหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เฟลทเชอร์กําลังแสดงบทเบื้องต้นเกี่ยวกับการบิน ความเร็วสูงให้นักเรียนชั้นใหม่ดู มันเพิ่งดึงตัวจากการพุ่งตัวจากระดับเจ็ดพันฟุต เจ้านกหนุ่ม ตัวหนึ่งซึ่งเพิ่งหัดบินเป็นครั้งแรกร่อนสวนตรงเข้ามา ทางยาวสีเทาหม่นปะทุขึ้นสองสามนิ้วฟุต เหนือหาดทราย เจ้านกหนุ่มส่งเสียงลั่นร้องเรียกแม่ เฟลทเชอร์มีเวลาเพียงหนึ่งในสิบของวินาที เท่านั้นที่จะหักตัวกลับ เจ้านางนวลหนุ่ม นางนวลเฟลทเชอร์ ลินด์ พุ่งไปทางซ้ายอย่างรุนแรง ด้วยความเร็วเกินสองร้อยไมล์ต่อชั่วโมงเข้าปะทะหน้าผาหินแข็ง                  หินผานั่นเป็นเสมือนประตูยักษ์แข็งกร้าว ที่เปิดไปสู่อีกโลกหนึ่งสําหรับเฟลทเชอร์ มันระเบิดด้วยความกลัว ช็อค และกลับดํามืดสนิทเมื่อเข้าไปปะทะ และแล้วมันก็ล่องลอยไปใน ท้องฟูาที่ประหลาดแสนประหลาด มันลืมสิ้น มันจําได้มันลืมมันกลัว เศร้าและเสียใจมันเสียใจ หนักหนา  
                แต่เสียงหนึ่งก็ดังเข้าเหมือนดังวันแรกที่มันพบ นางนวล : โจนาธาน ลิฟวิงสตัน                  "เฟลทเชอร์ เคล็ดลับก็คือ เรากําลังพยายามที่จะพิชิตข้อจํากัดของเราอย่างมี ระเบียบ : อย่างอดทน เราไม่บินผ่าหินผา จนกว่าจะถึงระยะหลังในรายการของเรา"  
                "โจนาธาน!"  
                "หรืออย่างที่รู้จักกันในนาม ลูกชายนางนวลที่ยิ่งใหญ่" ครูผู้สอนของมันกล่าวขึ้น อย่างกระด้าง  
                "เธอมาทําอะไรที่นี่ หน้าผา! ฉันไม่ได้…ฉันไม่…ตายไปแล้วหรือ"  
                "โธ่ เฟลท ไม่เอาละ คิดซิ ถ้าหากว่าเธอกําลังพูดอยู่กับฉันเดี๋ยวนี้นี่ เธอก็ยังไม่ตาย แน่ ใช่ไหม ที่เธอได้ทําไปก็คือเปลี่ยนระดับของสติสํานึกอย่างกะทันหัน ตอนนี้แล้วแต่เธอจะ เลือกเอา เธอจะอยู่ที่นี่แล้วก็เรียนรู้ในระดับนี้ก็ได้ ซึ่งเป็นระดับที่สูงจากที่ที่เธอจากมามากนัก หรือเธอจะกลับไปเพื่อทํางานให้กับฝูงก็ได้ พวกนกผู้ใหญ่ กําลังหวังไว้ว่าจะมีความหายนะ บางอย่าง แต่พวกนั้นตกตะลึงที่เธอทําให้สมใจเขาอย่างล้นเหลือ"  
                "ฉันอยากกลับไปหาฝูง แน่นอน ฉันเพิ่งจะเริ่มต้นกับพวกกลุ่มใหม่!"                  "ดีแล้ว เฟลทเชอร์ จําที่เราพูดไว้ว่าร่างกายไม่ใช่อะไร นอกจากความนึกคิดของ เราเอง….?"  
                เฟลทเชอร์สั่นหัว กางปีกออก ลืมตาขึ้นที่ตรงตีนหน้าผา มันปรากฎตัวท่ามกลางฝูง
นกที่ชุมนุมอยู่ เมื่อมันเริ่มขยับตัวก็มีเสียงโห่ร้องกรี๊ดกร๊าดเจี๊ยวจ๊าวจากกลุ่มนก  
                "เขายังมีชีวิต! เขาที่ตายไปแล้ว ยังมีชีวิตอยู่"  
                "เพียงแต่เอาปลายปีกไปแตะ! ก็ทําให้เขาคืนชีวิตขึ้นมา! ลูกชายของนางนวลที่ ยิ่งใหญ่"  
                "เปล่า! เขาปฏิเสธ! เขาเป็นปิศาจ! ปิศาจ! มาทําลายฝูงนก!"                  กลุ่มนางนวลนั้นมีอยู่ด้วยกันสี่พันตัว ตกใจสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วส่งเสียงร้องว่า ปิศาจ! ซึ่งดังไปทั่วราวกับลมพายุมหาสมุทร กลุ่มนกก้าวเข้ามาด้วยดวงตาวาว ปากเชิด มุ่งที่จะบดขยี้                  โจนาธานพูดขึ้น "จะดีสําหรับเธอไหมถ้าเราจะไปกันเสียเฟลทเชอร์"                  "ฉันก็จะไม่ขัดนักถ้าเราจะไป….."  
 
                ในทันใดนั้น นกทั้งสองก็ไปยืนคู่กัน ห่างออกไปครึ่งไมล์และปากอันแวววาวของ ฝูงก็งับได้แต่อากาศอันว่างเปล่า  
                "ทําไมนะ" โจนาธานถามอย่างงงวย "สิ่งที่ยากเย็นที่สุดในโลก คือการที่จะทําให้นก ตัวหนึ่งเชื่อว่าตนเป็นอิสระและให้เขาเชื่อว่าเขาจะพิสูจน์ตัวเองได้ เพียงแต่ใช้เวลาฝึกฝนเพียง นิดเดียว ทําไมมันช่างยากอย่างนั้น"  
 
                เฟลทเชอร์ยังคงกะพริบตาต่อความเปลี่ยนแปลงของทัศนภาพ  
                 "เธอทําอะไรเมื่อกี้นี้นะ เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร"  
                "เธอว่าเธออยากออกมาจากฝูงนกไม่ใช่หรือ ใช่ไหม"  
                "ใช่! แต่เธอทําอย่างไร…"  
                "ก็เหมือนอย่างอื่นนั่นแหละ เฟลทเชอร์ ฝึกฝน"  
 
 
                เมื่อถึงตอนเช้า พวกฝูงนกก็ลืมความบ้าคลั่งของมันได้ แต่เฟลทเชอร์ยังไม่ลืม                   "โจนาธาน จําที่เธอพูดมานานแล้วได้ไหม เรื่องให้รักฝูงนกแล้วกลับไปช่วยให้เขา เรียนรู้"  
"จําได้"  
                "ฉันไม่เข้าใจเลยว่า เธอจะรักฝูงนกบ้าคลั่งที่พยายามจะฆ่าเธอ"  
                "โอ เฟลท เธอไม่ได้รักสิ่งนั้น เธอไม่ได้รักความเกลียดชังและความชั่วช้า แน่นอน เธอจะต้องฝึกที่จะมองเห็นนางนวลที่แท้จริง ถึงความดีที่มีอยู่ในแต่ละตัว และช่วยให้เขา มองเห็นสิ่งที่อยู่ในตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ฉันหมายถึงความรัก มันจะสนุกเมื่อเธอแคล่วคล่องเรื่อง นี้"  
                "เป็นต้นว่าฉันจําเจ้านกหนุ่มดุดัน ชื่อนางนวล : เฟลทเชอร์ ลินด์ได้ เพิ่งจะถูกไล่ เป็นตัวหัวเน่าและก็พร้อมจะกลับไปสู้กับฝูงให้ตายกันไป แล้วก็เริ่มต้นสร้างสมนรกแห่งความ ขมขื่นเหนือหน้าผาโพ้น แต่เดี๋ยวนี้ ที่นี่เขากําลังสร้างสรรค์สวรรค์แทน และก็กําลังจะนําฝูงนก ทั้งฝูงไปในแนวทางนั้น"                  เฟลทเชอร์หันไปหาครูสอนของมัน และมีชั่วขณะหนึ่งแห่งความตื่นตระหนกใน ดวงตา "ฉันนะรึ นําฝูง? เธอหมายความว่าอย่างไร ฉันนําฝูง? เธอเป็นครูผู้ฝึกที่นี่ เธอจะไป ไม่ได้!"  
                "ไปไม่ได้หรือ เธอไม่คิดหรือว่าอาจจะมีฝูงอื่น เฟลทเชอร์ตัวอื่น ซึ่งต้องการครูผู้ ฝึกมากกว่าตัวนี้ ตัวนี้ซึ่งกําลังเดินทางไปสู่ความสว่าง?"                  "ฉันนะรึ จอน ฉันเป็นนางนวลธรรมดา และเธอเป็น…"  
                "….ลูกชายผู้เดียวของนางนวลที่ยิ่งใหญ่ ฉันคิดไว้แล้ว?" โจนาธานถอนใจและมอง ออกไปสู่ท้องทะเล  
                 "เธอไม่ต้องการฉันต่อไปอีกเท่าไรแล้ว เธอต้องค้นพบตัวเอง ทีละน้อยๆ ทุกวันให้ พบ นางนวลเฟลทเชอร์ที่แท้จริงไม่มีขอบเขตจํากัด เขาจะเป็นครูผู้ฝึกของเธอ เธอจะต้องเข้าใจ เขาและฝึกกับเขา"  
 
                 ชั่วขณะหนึ่งต่อมา ร่างของโจนาธานก็ขึ้นไปลอยอยู่กลางอากาศ ส่งแสงแวววับ และก็เริ่มจะจางหายไป  
                 "อย่าปล่อยให้พวกนั้นปล่อยข่าวลือโง่ๆ เกี่ยวกับฉันหรือทําฉันให้เป็นพระเจ้า 
โอเค เฟลท? ฉันเป็นนางนวล ฉันชอบบิน บางที…"  
                "โจนาธาน"  
                "เฟลทที่น่าสงสาร อย่าเชื่อสิ่งที่ดวงตาของเธอกําลังบอกเธอ สิ่งที่มันบอกมีข้อจํากัด 
จงดูด้วยความเข้าใจ ค้นหาสิ่งที่เธอได้รู้มาแล้ว แล้วเธอก็จะพบหนทางที่จะบิน"                  แสงแวววาวนั้นดับไป โจนาธานนางนวลหายวับไปในอากาศที่ว่างเปล่า  
 
 
                เวลาผ่านไป นางนวลเฟลทเชอร์พยุงตัวขึ้นสู่ท้องฟูาและเผชิญหน้ากับกลุ่มนักเรียน ใหม่ ที่กระหายที่จะเรียนบทฝึกหัดแรก  
                "การเริ่มต้น" เฟลทเชอร์พูดอย่างหนักแน่น "เธอจะต้องเข้าใจว่า นางนวลเป็น ความนึกคิดของอิสระเสรี เป็นภาพของนางนวลที่ยิ่งใหญ่ และร่างกายของเธอทั้งหมดจากปลาย ปีกหนึ่งสู่อีกปลายหนึ่งไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากความคิดของเธอเอง"  
                บรรดานางนวลหนุ่มมองมันอย่างงงงวย ไม่เอาน่ะพวกมันคิด นี่มันฟังไม่เหมือน กฎหมายบินร่อนลงเลย  
เฟลทเชอร์ถอนใจแล้วก็เริ่มใหม่อีก  
                 "เออ เออ เอาล่ะ" มันพูดขึ้นแล้วก็มองพวกนั้นอย่างเคร่งเครียด" เรามาเริ่มต้นด้วย การบินระดับ" และแล้วด้วยการพูดเช่นนั้นมันก็เข้าใจในทันทีว่า เพื่อนของมันไม่ได้เป็นทิพย์ อย่างจริงจังมากไปกว่าเฟลทเชอร์เอง ไม่มีขอบเขตจํากัดหรือ โจนาธาน? มันคิด ใช่ล่ะ ดังนั้น เวลาก็ไม่ใช่กาลห่างไกลออกไป เมื่อฉันจะปรากฎตัวออกจากบรรยากาศอันเบาบางที่ชายหาด ของเธอ และก็แสดงให้เธอเห็นสักอย่างสองอย่างในเรื่องการบิน!  
 
                และแม้ว่ามันจะพยายามทําตัวให้เคร่งครัดถูกต้องต่อหน้าบรรดานักเรียนของมัน นางนวลเฟลทเชอร์เห็นในทันทีทันควันว่าสภาพที่แท้จริงของพวกนั้นเป็นอย่างไร และชั่วขณะ หนึ่งมากกว่าที่มันจะชอบก็คือมันรักสิ่งที่มันมองเห็น                 ไม่มีขอบเขตจํากัดหรือโจ นาธาน? มันคิด มันยิ้มขึ้น และแล้วการแข่งขันที่จะเรียนรู้ของมันก็เริ่มขึ้น 
 ตอนตาม  
      ถ้าจะว่าไป โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล ก็เป็นปรากฎการณ์ที่ยิ่งใหญ่อันหนึ่งในโลก ของหนังสือ นอกจากจะขายดีเป็นที่สุดแล้วหนังสือเล่มนี้ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา บางคนก็ว่าเป็น เรื่องปรัชญาคริสตศาสนา บางคนว่าเป็นฮินดู บางคนว่าเป็นพุทธศาสนา บางคนว่าเป็นแฟนตาซีครึ่งดิบ ครึ่งสุก หรือบางคนว่าเป็นเรื่องของ Male Chauvinist (ซึ่งหมายถึงเรื่องที่เป็นทัศนคติที่มองว่าโลกนี้เป็น ของผู้ชายแต่ฝ่ายเดียว ในเรื่องนางนวลปรากฎว่าไม่มีนกนางนวลตัวเมียสักตัวเดียว ได้ข่าวเล่าว่าคนสร้าง หนังนั้นกำลังจะเพิ่มนกสาวๆ เข้าไปในหนังที่กำลังทำอยู่ หรือบางคนถึงกับว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้ สาระ และเป็นปรัชญาเก๊ๆ ทั้งหมดนี้ทำให้น่าตั้งคำถามว่า โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล เป็นอะไรกัน แน่  
 
              ความเกรียวกราวของ โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล จะเห็นได้จากอัตราการขายหนังสือ เล่มนี้ กล่าวคือภายในปีที่แล้ว (2515) หนังสือเล่มนี้ขายได้เกินหนึ่งล้านเล่ม โดยเริ่มพิมพ์ออกขายเป็น หนังสือปกแข็งราคาประมาณหนึ่งร้อยบาท พอขายดีเข้าหน่อยราคาก็ขึ้นไปเล่มละร้อยห้าสิบบาท จนใน ที่สุดก็ออกมาเป็นฉบับกระเป๋า ซึ่งตกมาขายในบ้านเรา  
 
              อัตราการขายหนังสือเล่มนี้สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับผู้แต่งและผุ้พิมพ์เป็นอย่างมาก เพราะในตอนที่เริ่มขายดีนั้นปรากฎว่าขายได้อาทิตย์ละห้าพันเล่ม แล้วก็ถึบตัวขึ้นมาเป็นขายได้วันละหมื่น เล่ม ท าลายสถิติหนังสือที่เคยขายดีทั้งหมดแม้แต่เรื่อง วิมานลอย หรือ Gone With the Wind นั้นเป็น มาตรฐานของการขายดีไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือเป็นหนัง ดังนั้นใครที่จะมาท าลายสถิติก็มักจะเอาเรื่องนี้ เป็นหลักที่จะตั้งชัยชนะไว้ ตัวอย่างล่าสุดเห็นจะเป็นหนังเรื่อง เดอะก๊อดฟาเธอร์ ซึ่งคุยนักคุยหนาว่าท า เงินได้เกินหน้า วิมานลอย หนังเรื่อง มนต์รักเพลงสวรรค์ หรือ The Sound of Music ก็เคยคุยเรื่อง ท าลายสถิติรายได้ของ วิมานลอย แล้ว (แต่ความเป็นอมตะที่จะอยู่ต่อไปได้อย่าง วิมานลอย ยังเป็นเรื่อง น่าสงสัยอยู่) ถึงตอนนี้ นางนวลถูกแปลงออกเป็นภาษาต่างๆ มากมายและก็ก าลังถูกสร้างขึ้นมาเป็นหนัง ซึ่งคนแต่งได้ค่าลิขสิทธิ์ไปแล้วสองล้านบาท และยังจะได้แบ่งปันผลก าไรอีก 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อหนังออก ฉาย  
 
              แรกเริ่มเดิมทีไม่มีใครคิดว่าหนังสือเล่มนี้จะขายได้ ริชาร์ด บาค ผู้แต่งพยายามส่งเรื่องนี้ไป ตีพิมพ์หลายแห่งส่งไปให้นิตยสารสองฉบับแต่ก็ถูกปฏิเสธ เพราะบรรณาธิการไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องส าหรับ ผู้ใหญ่อ่าน หรือเด็กอ่านกันแน่ ริชาร์ค บาค ส่งไปให้ส านักพิมพ์อีกสองแห่งคือ แรนดอมเฮาส์ และ ฮาฟ เปอร์แอนด์โรว์แต่ก็ถูกปฏิเสธอีก ผลสุดท้าย บริษัทแมคมิลแลนด์ยอมรับพิมพ์ให้อย่างไม่สู้จะเต็มใจนัก แต่ก็ปรากฏว่าหนังสือกลับขายดีเป็นเทน้ าเทท่าดังกล่าวข้างต้นจนกระทั่งถึงกับต้องออกพิมพ์เป็นฉบับ กระเป๋าโดยบริษัทเอวอนซึ่งริชาร์ด บาค ได้ค่าลิขสิทธิ์จาเอวอนเป็นเงินยี่สิบกว่าล้านบาท  
 
              ส าหรับตัวคนเขียน คือ ริชาร์ด บาคนั้น ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งแรกที่แกท าอะไรได้ส าเร็จ กล่าวคือในอดีตที่ผ่านมา (แกอายุ 37 ปี) แกมักจะล้มเหลวอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะไปจับงานอะไร แกลอง ท างานมาหลายอย่าง เช่น เป็นนักบิน เป็นบุรุษไปรษณีย์ เป็นบรรณาธิการ และเป็นแม้กระทั่งเทศน์ ฆราวาสในโบสถ์นิกาย Church of Christ ซึ่งทั้งหมดนี้แกก็ไม่เคยท าอะไรถาวร มักจะเปลี่ยนงานอยู่ บ่อยๆ แม้กระทั่งการเล่าเรียน ก็เคยไปทดลองเรียนหนังสือที่ลองบีชเสตทคอลเลจได้เพียงหนึ่งปีก็ ออกมา  
              แต่ที่แกดูจะช านาญและมีใจรักเห็นจะไม่มีอะไรเกิดการบิน แกเริ่มหัดบินตั้งแต่อายุ 17 ปี แล้ว ก็วนเวียนไปมาเกี่ยวกับอาชีพการบินนี้ บางครั้งก็ไปท างานเป็นนักบินไอพ่น บางครั้งก็ท างานรับจ้าง บริษัทท าเรือบินบางครั้งก็ท างานหนังสือพิมพ์ที่เกี่ยวกับการบิน คือ Flying และ Private Pilot                ฉะนั้นประสบการณ์ของแก่ในเรื่องการบินนี้ จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้แกเขียนเรื่องราว ต่างๆ เกี่ยวกับการบินแกเขียนหนังสือออกมาสองสามเล่มในท านองนี้แต่ก็ไม่ประสบความส าเร็จเท่าไร จนกระทั่งเขียน โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล  
 
              ในเรื่องนางนวลนี้ แม้จะเป็นหนังสือที่มีความสั้นมากก็ตาม แต่ถ้าจะดูเวลาที่กว่านายริชาร์ด บาค จะเขียนเสร็จก็น่าแปลกใจดี กล่าวคือแกเกิดความรู้สึกแวบหนึ่งเข้ามาในหัวสมองว่า โจนาธาน ลิฟ วิงสตัน แล้วแกก็เริ่มเขียนเรื่องทันที (ชื่อของนางนวลนี้ ริชาร์ด บาค อาจจะอามาจากชื่อคนจริงๆ คือ จอห์น ลิฟวิงสตัน ซึ่งเป็นนักบินมีชื่อเสียงเมื่อราวสามสิบกว่าปีมาแล้ว) ครั้งนั้นแกเขียนไปถึงตอนโจ นาธานถูกไล่ออกจากฝูงนก แต่ก็ต้องหยุดเขียนเพราะเขียนไม่ออก แกหยุดทิ้งไว้ตั้งแปดปี มาเริ่มเขียน ใหม่เอาเมื่อปี 2510 คราวนี้แกไม่ได้เขียนแต่ใช้พิมพ์ดีดพิมพ์ออกมาเลยรวดเดียวจน แล้วแกก็กลายเป็น นักเขียนมีชื่อและเป็นมหาเศรษฐีไปเพราะ นางนวล : โจนาธาน ลิฟวิงสตัน ตัวนั้น ในปัจจุบันแกก็ใช้ ชีวิตอยู่กับการบินและก็เลิกอะไรๆ ไปหลายอย่าง เช่น เลิกกับภรรยาซึ่งแกมีลูกด้วยกันหกคน เลิกไปฟัง เทศน์ที่โบสถ์ และเลิกส่ง ส.ค.ส.ตอนคริสต์มาสและปีใหม่  
 
                สิ่งที่ท าให้ นางนวล โด่งดังขึ้นมาคงจะเป็นความง่ายของหนังสือเป็นประการแรก หนังสือเล่ม นี้ง่ายในความหมายที่ว่าทั้งเด็กและผู้ใหญ่อ่านได้สบายๆ ในขณะเดียวกันก็แฝงปรัชญาความคิดเอาไว้ ด้วย ลักษณะของหนังสือเป็นเรื่องผสมผสานกันระหว่างความเก่าและความใหม่ ความใหม่ที่แทรกเข้ามา ก็คือ ความทันสมัยและวิทยาศาสตร์ในรูปของ Science Fiction คอื เรื่องของการบินเร็วและสามารถจะ บินได้เร็วเท่าความคิด นอกเหนือไปจากนี้สิ่งที่ส าคัญที่สุดที่ประทับใจคนอ่านก็คือ อิสระเสรีภาพ                  คนอ่านไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามมีอิสระที่จะตีความหนังสือเล่มนี้ได้ตามใจชอบดังนั้นจึงไม่น่า สงสัยอะไรเลย ที่มีคนตีความว่าปรัชญาของนางนวล เป็นฮินดูบ้างเป็นพุทธศาสนาบ้าง เป็นคริสตศาสนา นิกาย Christian Science บ้าง หรือแม้กระทั่งว่าเป็นปรัชญาเก๊ๆ ก็มี                  ในที่นี้อยากจะพูดถึงปรัชญาที่แฝงอยู่ในนางนวล ว่าเป็นปรัชญาของคริสตศาสนานิกาย Christian Science ศาสนานิกายนี้เป็นศาสนาที่เกิดขึ้นในอเมริกา เมื่อราวๆ ปี พ.ศ.2422 ผู้ตั้งนิกาย เป็นผู้หญิงชื่อ Mary Eddy Baker ปัจจุบันศาสนานิกายนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองบอสตัน และมีโบสถ์ ของตนเองประมาณสองพันกว่าโบสถ์ทั่วอเมริการ มีสาขากว่าสามพันสาขาในหกสิบประเทศทั่วโลก                   
     สิ่งที่ขึ้นหน้าขึ้นตาของศาสนานิกายนี้คือหนังสือพิมพ์รายวันชื่อ Christian Science Monitor ซึ่งมิใช่หนังสือเกี่ยวกับศาสนาแต่เป็นหนังสือรายวันที่ถือกันว่า ลงข่าวสารการเมืองดีที่สุดเล่ม หนึ่งในอเมริการอง ๆ ลงไปจาก New York Times หรือ Washington Post  
                ศาสนานิกายนี้ยึดคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นสัจจะแห่งปรัชญา และเน้นในเรื่องของจิตเป็นอย่างมาก ดังนั้นปรากฎการณ์ต่างๆ ที่มนุษย์เห็นไปว่าจะเป็นเรื่องของความดี ความเลว การเกิด การตาย จึงเป็น อุปาทานหรือเป็นภาพลวงตา ความสำคัญทั้งหมดอยู่ที่จิตของมนุษย์เองและมนุษย์เป็นตัวตนที่ไม่มี กาลเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์เกิดขึ้นจากตัวของตัวเอง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นความเจ็บไข้ได้ ป่วยอะไรก็ตามมนุษย์สามารถจะขจัดได้ด้วยอำนาจพวกนิกายนี้ถือว่าเป็นยารักษาโรคที่ดีที่สุด ของมนุษย์ก็คือจิตของตนนั่นเอง ฉะนั้นพวกนี้จึงปฏิเสธการใช้หยูกยา หัวใจของนิกายนี้จะเน้นอยู่ที่ ตัวเอง (Self) และตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ ก็คือ วิญญาณที่จะคงอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์                    มีคนกล่าวว่าปรัชญาในหนังสือ นางนวล นั้นมีเรื่องอิทธิพลของศาสนานิกายนี้แฝงอยู่อย่าง มาก (ริชาร์ด บาค เคยเป็นนักเทศน์ดังกล่าวข้างต้น) เพราะสำหรับโจนาธานแล้ว ความเป็นปัจเจกบุคคล ส าคัญที่สุด และมีพลังที่แฝงอยู่ในความเป็นปัจเจกบุคคลนี้ เมื่อสามารถค้นพบพลังอันนี้ได้ก็สามารถ น ามาใช้เพื่อพิชิต (ไม่ว่าจะเป็นความเป็นเลิศในการบิน ความเจ็บ ความตาย อย่างกรณีที่นางนวลเฟลท เชอร์บินชนหินผา) สิ่งที่น ามาใช้เพื่อการพิชิตนี้ไม่มีอะไรอื่นนอกจากการบังคับควบคุมความคิดของ ตนเอง ดังนั้นโจนาธานนางนวลจึงกล่าวว่า "นางนวลเป็นความคิดแห่งอิสระเสรีภาพ ที่ไม่มีขอบเขต 
จำกัดเป็นสถานภาพของนางนวลที่ยิ่งใหญ่ และร่างกายของเธอทั้งหมดจากปลายปีกหนึ่งสู่อีก ปลายปีกหนึ่ง ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากความคิดของเธอเอง"  
               หรืออีกนัยหนึ่งสิ่งที่โจนาธานพยายามฝึกฝนก็คือการหา ตัวเอง (Self) ให้พบ แล้วก็ใช้การ บังคับของจิตตนเองไปสู่เป้าหมายอันสูงสุด (ความเป็นเลิศในการบินไม่ว่าจะเป็นการบินระดับต่ า บิน ระดับสูง บินกายกรรมอากาศ หรือ บินความรัก) และผลที่สุดตัวเอง (Self) นี้ก็จะอยู่ไปชั่วนิรันดร์ อาจจะ อยู่ในกาลเวลาและสถานที่อีกแห่งหนึ่ง เสี้ยมสอนผู้อื่นให้รู้ถึงอิสระเสรีภาพความเป็นเลิศในการบินต่อไป  
 
 
           ริชาร์ด บาค ให้สัมภาษณ์ทัศนะของเขาไว้ว่า "จงค้นหาว่าเธอรักจะท าอะไร แล้วก็ท าสุด ความสามารถให้บรรลุผลส าเร็จ" เขาแย้มไว้อีกว่าไม่ต้องห่วงว่าศาสนาไหนจะอ้างว่าโจนาธานก าลัง สั่งสอนลัทธิอยู่ ซึ่งก็คงจริงเพราะริชาร์ด บาค ก็ได้ให้อิสระเสรีแก่ผู้อ่านที่จะตีความปรัชญานางนวลไว้ อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์และแม้กระทั่งปรัชญาเก๊ๆ  
 
               ถ้าจะว่าไป ผมแปลเรื่อง โจนาธาน ลิฟวิงสตัน : นางนวล นี้ ขึ้นมาด้วยเหตุบังเอิญโดยแท้ จุดประสงค์แรกก็คือเพื่อส่งให้กับนิตยสารฉบับหนึ่ง เมื่อตอนนั้นเพื่อนๆ กลุ่มหนึ่งจัดพิมพ์หนังสือรายเดือน ขึ้นมาชื่อ เพื่อน และก็ขาดเรื่องที่จะลงพิมพ์ เรานั่งคุยกันไปนั่งคุยกันมาแล้วก็สรุปว่าผมควรจะแปลเรื่องที่ อ่านสนุกๆ ง่ายๆ สักเรื่อง ก็เลยนึกขึ้นได้ว่ามีหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นจึงเริ่มลงมือแปลและเริ่มลงพิมพ์ใน หนังสือ เพื่อน เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2516 ลงพิมพ์ติดต่อกันได้เพียงสองเดือนก็ปรากฏว่า หนังสือ เพื่อน ของเพื่อนๆ เป็นอันต้องล้มหมอนนอนเสื่อไป ดังนั้นต้นฉบับที่มีอยู่จึงพิมพ์ไม่ครบถ้วนในคราวนั้น                    นอกจากเหตุบังเอิญข้างต้น สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมแปลหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาก็เพื่อ อุทิศให้กับเด็กเล็กๆ สักห้าคน ผมเพียงแต่หวังว่าคจะมีใครไปอ่านให้แกฟังเป็นเพื่อนในยามว่างหรือยาม เหงา และก็หวังว่าเด็กเล็กๆ เหล่านั้นคงจะได้รับความเพลิดเพลินหรือช่วยสร้างจินตนาการให้แกบ้าง ดู เหมือนเหตุผลทั้งหมดก็คงจะมีเท่านี้นั่นเอง  
 
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ  
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต้นฤดูร้อน 2517  
 
          …….การตีความต่างๆ ที่ปรากฏจากนิยายเชิงปรัชญา เล่มนี้ ย่อมเป็นสิทธิโดยเต็มที่จากผู้อ่าน ทุกสมัย นางนวลตัวใหม่ก็จะบินเข้ามาแทน ซึ่งเปรียบได้กับการแสวงหาที่มีเหตุผลและมีทางออกมาก ขึ้น ส าหรับผู้เยาว์ที่เพิ่งเรียนรู้บทเรียนใหม่ๆ จากผู้มีประสบการณ์เก่า ในฐานะของ "จิตใจแห่งนางนวล" ที่ทัดเทียมเสมอกันเพื่อจะได้ "บินไปด้วยความนึกคิด" ให้เร็วที่สุด และรอบคอบมากที่สุด ดังปรากฎ ถ้อยค าชวนคิดหลากหลายที่ริชาร์ด บาค ผู้เขียนได้กล่าวไว้ในเล่ม  
- นางนวลเป็นความนึกคิดของความอิสระเสรี…   ร่างกายของเธอทั้งหมดจากปลายปีกหนึ่งสู่อีกปีกหนึ่ง ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากความคิด   ของเธอเอง….  
- อย่าเชื่อสิ่งที่ดวงตาของเธอก าลังบอกเธอ สิ่งที่มันบอกมีข้อจ ากัด จงดูด้วยความเข้าใจ   ค้นหาสิ่งที่ เธอได้รู้มาแล้ว….  
                เอาละ… โจนาธาน ชาญวิทย์ : นางนวล ขอมอบ "ของขวัญแห่งกาลเวลา" ชิ้นนี้กลับคืนมา สู่ท่านอีกครั้งหนึ่งโดยการกลับคืนมาครั้งนี้คงย่อมมิใช่การแสวงหาครั้งเก่า แต่หากจะเป็นการหมั่นฝึกฝน เพื่อ "พิชิตข้อจ ากัด" ในการบินครั้งใหม่ หรือท่านผู้อ่านคิดเห็นประการใด สิ่งใด สิ่งนั้น ท่านย่อมรู้ได้ใน ใจจาก "ชั่วโมงบิน" ของท่านเอง…. สิ่งใด สิ่งนั้น เป็นเช่นใด ย่อมอยู่นอกเหนือกาลเวลาไป จากการ จัดพิมพ์ครั้งนี้ เพราะมันจะเป็นเพียงของขวัญชิ้นเล็กๆ ที่กระซิบมอบให้กับ "โจนาธานตัวจริง" ซึ่งมีอยู่ใน ตัวเราทุกๆ คน เมื่อวันคืนเก่าๆ ผ่านพ้นไป รุ่งอรุณแห่งวันคืนใหม่ๆ ก็ย่อมจักต้องมาเยือน……  
 
บางส่วนจาก "ของขวัญแห่งกาลเวลา" 
 คำนำนการพิมพ์ครั้งที่๔  สุชาติ สวัสดิ์ศรี  
 
               ….ข้อที่ควรพิจารณาอย่างหนึ่งก็คือ การแสวงหาความเป็นตัวของตัวเองที่นางนวลกระทำอยู่ อย่างเอาเป็นเอาตายนั้น เป็นการแสวงหาเพื่อหลุดพ้นเป็นส่วนตัว เพื่อความภาคภูมิใจเป็นส่วนตัวหรือ เป็นการแสวงหาเพื่อส่วนอื่นที่มิใช่ตัวเอง ถ้าหากนางนวลอุตส่าห์บินแทบล้มแทบตายเพียงเพื่อต้องการ ให้คนอื่นมองเห็นว่า มันไม่เหมือนใคร มันไม่เดินตามแบบใคร ก็เป็นเรื่องสูญเปล่าได้เช่นเดียวกัน เพราะ โลกในยุคต่อไปนั้น ไม่ใช่โลกที่แต่ละคนจะหลบหนีไปแสวงหาความวิเวกวังเวงใจแต่ผู้เดียว แต่เป็นโลก ที่ทุกคนจะต้องอุทิศตนท างาน เพื่อแสวงหาทางรอดให้กับสังคมที่เราอยู่โดยส่วนรวม  
 
              ……ข้อที่คนอ่านหนังสือไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดคือ หลักกาลามสูตรที่พระพุทธองค์ของเรา กล่าวไว้เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีก่อนทั้ง ๑๐ ข้อนั้นเป็นหลักยึดอย่างดี ในการพิจารณาปัญหาแต่ละปัญหาที่ เกิดขึ้นแล้วในสังคมและในโลกนี้…..  
 
บางส่วนจาก คำนำในการพิมพ์ครั้งที่ ๓  เสถียร จันทิมาธร  
 
                 ….นอกเหนือจากวิญญาณเสรีแล้ว โจนาธานยังมีความรับผิดชอบ มีความรักในมนุษยชาติ มีความอยากจะช่วยเหลือผู้อื่น เปิดโอกาสและแนะแนวทางให้ผู้อื่นได้แสวงหา เรียนรู้ และบรรลุ ตรงนี้ แหละที่ท าให้โจนาธานน่าสนใจขึ้นอีกเป็นพิเศษ และโดยส่วนตัวของผมที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือก็ ออกจะชอบทั้งวิญญาณเสรีและความเสียสละของโจนาธาน วิญญาณเสรีท าให้เราหลุดพ้นจากความ
จ าเจที่น่าเบื่อหน่าย ความเสียสละท าให้การมีชีวิตอยู่ของเรามีคุณค่ายิ่งขึ้น ผมคิดว่าสองสิ่งนี้น่าจะอยู่ใน วิสัยที่มนุษย์เราพึงจะท าให้แก่กันและกันได้  
 
บางส่วนจากค าน าในการพิมพ์ครั้งที่ ๑๐  ชาญวิทย์ เกษตรศิริ  พฤษภาคม ๒๕๒๗  

ธุรกิจ SMEs หรือ ธุรกิจขนาดย่อม

 
การทำธุรกิจ ธุรกิจขนาดย่อม
ความหมายของธุรกิจ SMEs หรือ ธุรกิจขนาดย่อม

 
ธุรกิจ หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางด้านการผลิต การจำหน่าย และการบริการ

ธุรกิจ SMEs หรือ ธุรกิจขนาดย่อม หมายถึง ธุรกิจที่เป็นอิสระมีเอกชน เป็นเจ้าของ ดำเนินการโดยเจ้าของเอง ไม่เป็นเครื่องมือของธุรกิจใด ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพล ของบุคคล หรือธุรกิจอื่น มีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำ และมีพนักงานจำนวนไม่มาก

ความสำคัญของธุรกิจขนาดย่อม
ธุรกิจขนาดย่อม ช่วยในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากธุรกิจขนาดย่อมช่วยให้เกิดการกระจายรายได้จากกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจ ไปสู่กลุ่มคนต่าง ๆ ทำให้เกิดการจ้างงานและประชาชน มีรายได้ ซึ่งเป็นตัวช่วยให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมดีขึ้น
ธุรกิจขนาดย่อม เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจขนาดใหญ่เพราะความเจริญก้าวหน้าของ ธุรกิจขนาดย่อมทำให้ธุรกิจมั่นคงมียอดการผลิตที่สูงขึ้น และมีการนำเทคโนโลยี ที่สูงขึ้นมาใช้ในการผลิตซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นฐานไปสู่ธุรกิจขนาดใหญ่
ธุรกิจขนาดย่อม เป็นแหล่งผลิตสินค้าใหม่ ๆ เป็นการรวมกลุ่มของบุคคลร่วมกันคิด และผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาสู่ตลาด โดยที่ธุรกิจขนาดใหญ่ไม่กล้าเสี่ยง ต่อการลงทุน
 

เอสเอ็มอี (SME หรือ SMEs) คืออะไร
คำว่า เอสเอ็มอี นั้นเป็นคำย่อ ของคำว่า Small and Medium Enterprise (SME) ในภาษาอังกฤษนั่นเอง สำหรับคำที่ใช้กันอย่างเป็นทางการของภาษาไทย คือ “วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” นั่นเอง.

คงเคยได้ยิน ได้ฟังกันมาบ้างแล้ว และอาจจะสงสัย หรือว่ามึนงง ไอ้เจ้า “เอสเอ็มอี” แท้ที่จริงนั้น sme คืออะไร กันแน่ ทำไมผู้ใหญ่หลายท่าน ถึงพยายามที่จะช่วยกัน ส่งเสริมและผักดันให้มีการลงทุน ในธุรกิจ เอสเอ็มอี


 
คำว่า เอสเอ็มอี นั้นเป็นคำย่อ ของคำว่า Small and Medium Enterprise (SME) ในภาษาอังกฤษนั่นเอง สำหรับคำที่ใช้กันอย่างเป็นทางการ ของภาษาไทยคือ “วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” นั่นเอง

สำหรับประเทศไทย ได้มีกฎหมาย ธุรกิจเอสเอ็มอี ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งเรียกว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม พ.ศ. 2543 โดยตาม กฎหมายฉบับนี้นั้น ได้ให้อำนาจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในการกำหนดว่า ใครบ้างที่จะได้ ขึ้นชื่อว่า เข้าข่ายเป็น ธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งจะประกาศออกมาเป็นกฎกระทรวง ก่อนหน้านี้ จะใช้เกณฑ์ ในการวัดว่า ธุรกิจไหนเป็น เอสเอ็มอี ดังนี้คือ

กิจการที่ดำเนินงานเกี่ยวกับการผลิตหรือบริการ มีมูลค่าทรัพย์สินถาวรไม่เกิน สองร้อยล้านบาท มีการจ้างงานไม่เกิน สองร้อยคน
กิจการค้าส่ง ที่มีทรัพย์สินถาวรไม่เกิน หนึ่งร้อยล้านบาท มีการจ้างงานไม่เกิน ห้าสิบคน
กิจการค้าปลีก ที่มีมูลค่าทรัพย์สินถาวรไม่เกิน หกสิบล้านบาท มีการจ้างงานไม่เกิน สามสิบคน

ลักษณะของธุรกิจขนาดย่อมทั่วไป
ปริมาณยอดขายมีน้อย โดยรายได้ในท้องถิ่นอาจจะตอบสนองธุรกิจขนาดใหญ่ไม่ได้ แต่ก็มากพอที่จะทำให้ผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อมสามารถอยู่รอดได้ตามสมควร ดังนั้นธุรกิจขนาดใหญ่จึงไม่ต้องการแข่งขันกับธุรกิจขนาดเล็ก
มีฝีมือและประสบการณ์ของตนเองในการบริการลูกค้า เนื่องจากเจ้าของเป็นผู้บริหารงานเอง จึงใช้ความสามารถส่วนตัวในการบริหารงาน เช่น ช่างตัดเสื้อ นักออกแบบภายใน
มีการบริการในลักษณะเป็นการส่วนตัว โดยจะต้องขึ้นอยู่กับความสามารถ และบุคลิกภาพของผู้ประกอบการเป็นสำคัญ ส่วนใหญ่แล้วจะมีอยู่ในธุรกิจขนาดย่อม
มีความสะดวก ธุรกิจขนาดย่อมสามารถแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้โดยการเสนอความสะดวกสบายที่ธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งเป็นคู่แข่งขันไม่สามารถหาได้
สามารถปรับตัวเข้ากับความต้องการของท้องถิ่น ธุรกิจขนาดย่อมในท้องถิ่นที่ตัดสินใจด้วยตัวเองโดยใช้ความรู้ความต้องการ และความพอใจของท้องถิ่นจะได้เปรียบธุรกิจขนาดใหญ่ และธุรกิจมีความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัวกับเจ้าของและพนักงาน
มีแรงจูงใจสูง เมื่อประกอบธุรกิจของตนเอง เจ้าของจะต้องทำงานหนักและเสียสละมากกว่าการทำงานให้กับผู้อื่น เนื่องจากเป็นเจ้าของธุรกิจเอง จึงทำให้มีการดำเนินธุรกิจของตนเอง
มีความคล่องตัวทางการบริหาร ธุรกิจขนาดเล็กสามารถปรับตัวเองให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงได้เร็วยิ่งขึ้น
ต้นทุนในการดำเนินงานต่ำ เนื่องจากใช้แรงงานของสมาชิกในครอบครัวที่สามารถให้ผลผลิตมากกว่า แต่จ่ายค่าจ้างต่ำกว่าค่าจ้างที่จ่ายให้กับแรงงานที่จ้างจากที่อื่น
ประโยชน์ของธุรกิจขนาดย่อม
ธุรกิจขนาดย่อมเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของธุรกิจชุมชนซึ่งเป็นการช่วยด้านสวัสดิการทางเศรษฐกิจของประชาชน เพราะมีการผลิตจำนวนมากถึงครึ่งหนึ่งของสินค้าและบริการทั้งหมด ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจของธุรกิจขนาดย่อมจะเหมือนกับธุรกิจขนาดใหญ่ คือ สร้างรายได้ให้กับชุมชนและประเทศ ช่วยจัดหางานใหม่ นำเสนอนวัตกรรม กระตุ้นการแข่งขัน ช่วยเหลือธุรกิจขนาดใหญ่ตลอดจนผลิตสินค้าและบริการที่มีประสิทธิภาพ ประโยชน์ของธุรกิจขนาดย่อมมีดังนี้

การสร้างงานใหม่ เป็นการสนับสนุนผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจของตนเอง โดยการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ หรือการขยายธุรกิจเดิม ถือว่าเป็นโอกาสสำหรับตลาดแรงงาน ธุรกิจขนาดย่อมนั้นสามารถเติบโตเป็นธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ได้ต่อไป
การสร้างนวัตกรรม หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ จะมีจุดเริ่มต้นจากงานวิจัยในห้องทดลองเพื่อให้ได้รับการยอมรับ ซึ่งจะมีส่วนช่วยเหลืออย่างมีคุณค่าให้เกิดขึ้นกับมาตรฐานการครองชีพของประชาชน
การกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การเพิ่มการแข่งขันเป็นสถานการณ์ซึ่งธุรกิจมีการแข่งขันด้านการขาย การมีธุรกิจขนาดย่อมเข้ามาแข่งขันด้วยจะทำให้การแข่งขันด้านราคาลดลงตลอดจนมีการเพิ่มผลผลิตและเพิ่มมาตรฐานของสินค้าและการบริการ ซึ่งเป็นการเพิ่มมาตรฐานการครองชีพให้แก่ประชาชนได้
ช่วยเหลือธุรกิจขนาดใหญ่ให้ผลิตสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หน้าที่บางอย่างธุรกิจขนาดย่อมมักจะทำได้ดีกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ เพราะธุรกิจขนาดใหญ่นั้นไม่อาจทำหน้าที่ครบทุกประการ ในขณะที่ธุรกิจขนาดย่อมสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าซึ่งแบ่งได้ เช่น การจัดจำหน่าย การขายปัจจัยการผลิต การบริการ เป็นต้น
การผลิตสินค้าและบริการที่มีประสิทธิภาพ ธุรกิจขนาดย่อมจะต้องเกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของงาน โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องอาศัยความประณีตและใช้ฝีมือ ธุรกิจขนาดย่อมจะทำได้ดีกว่า ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาความสามารถในการประกอบการด้วย
การกระจายการพัฒนาประเทศ ธุรกิจขนาดย่อมมีการตั้งกระจัดกระจายกันไปตามชุมชนต่าง ๆ จึงมีบทบาทในการส่งเสริมการกระจายความเจริญเติบโตของท้องถิ่น
การเพิ่มการระดมทุน ธุรกิจขนาดย่อมเป็นการรวบรวมเงินทุนที่เป็นของผู้ประกอบการและ ญาติพี่น้องมาก่อให้เกิดประโยชน์ในทางธุรกิจ จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการระดมทุน ซึ่งเป็นการเพิ่มความสามารถในการผลิตของประเทศด้วย เช่น ธุรกิจการผลิต ธุรกิจเหมืองแร่ ธุรกิจค้าส่ง ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจบริการ
ปัญหาและข้อจำกัดของธุรกิจขนาดย่อม
ปัญหาด้านการตลาด ธุรกิจขนาดย่อมจะตอบสนองความต้องการของตลาดในท้องถิ่น หรือตลาดภายในประเทศ ซึ่งยังขาดความรู้ความสามารถในด้านการตลาด ในวงกว้างโดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ ขณะเดียวกันความสะดวกรวดเร็วในการคมนาคมขนส่งตลอดจนการเปิดเสรีทางการค้า ทำให้วิสาหกิจขนาดใหญ่ รวมทั้งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาแข่งขันกับสินค้าในท้องถิ่นหรือในประเทศที่ผลิตโดยกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมากขึ้น
ขาดแคลนเงินทุน ธุรกิจขนาดย่อมมักประสบปัญหาการขอกู้เงินจากสถาบันการเงิน เพื่อมาลงทุนหรือขยายการลงทุนหรือเป็นเงินทุนหมุนเวียน เนื่องจากไม่มีการบัญชีอย่างเป็นระบบ และขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ทำให้ต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ และจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูง
ปัญหาด้านแรงงาน แรงงานที่ทำงานในธุรกิจขนาดย่อม จะมีปัญหาการเข้าออกสูงเมื่อคนงานทำงานจนมีฝีมือและมีความชำนาญมากขึ้นก็จะย้ายออกไปทำงานในโรงงานขนาดใหญ่ที่มีระบบและ ผลตอบแทนที่ดีกว่า จึงทำให้คุณภาพของแรงงานไม่สม่ำเสมอการพัฒนาไม่ต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพสินค้า
ปัญหาข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีการผลิต ธุรกิจขนาดย่อมทั่วไปมักใช้เทคนิคการผลิตไม่ซับซ้อนเนื่องจากการลงทุนต่ำ และผู้ประกอบการหรือพนักงานขาดความรู้พื้นฐานที่รองรับเทคนิควิชาที่ทันสมัย จึงทำให้ขาดการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์และพัฒนาคุณภาพมาตรฐานที่ดี
ข้อจำกัดด้านการจัดการ ธุรกิจขนาดย่อมมักขาดความรู้ในการจัดการหรือการบริหารที่มีระบบใช้ประสบการณ์จากการเรียนรู้ โดยเรียนถูกเรียนผิดเป็นหลักอาศัยบุคคลในครอบครัวหรือญาติพี่น้องมาช่วยงานการบริหารภายในลักษณะนี้แม้จะมีข้อดีในเรื่องการดูแลที่ทั่วถึง แต่เมื่อกิจการเริ่มขยายตัวหากไม่ปรับปรุงการบริหารจัดการให้มีระบบก็จะเกิดปัญหาขึ้นได้
ปัญหาการเข้าถึงบริการการส่งเสริมของรัฐ ธุรกิจขนาดย่อมจำนวนมากเป็นการจัดตั้งกิจการที่มีรูปแบบไม่เป็นทางการ เช่น ผลิตตามบ้าน ผลิตตามบ้าน ผลิตในลักษณะโรงงานเหล่านี้จึงค่อนข้างปิดตัวเองในการเข้ามาใช้บริการของรัฐ เนื่องจากปฏิบัติไม่ค่อยถูกต้องเกี่ยวกับการเสียภาษี การรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม หรือรักษาความปลอดภัยที่กำหนดตามกฎหมาย นอกจากนี้ในเรื่องการส่งเสริมการลงทุนก็เช่นเดียวกัน แม้ว่ารัฐจะได้ลดเงื่อนไขขนาดเงินทุนและการจ้างงาน เพื่อจูงใจให้ธุรกิจขนาดย่อมเพียง 8.1% เท่านั้นที่มีโอกาสได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐ
ปัญหาข้อจำกัดด้านบริการส่งเสริมพัฒนาขององค์การภาครัฐและเอกชน การส่งเสริมพัฒนาธุรกิจขนาดย่อมที่ผ่านมาได้ดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมส่งเสริมการส่งออก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมมีจำนวนมากและกระจายอยู่ทั่วประเทศ ประกอบกับข้อจำกัดของหน่วยงาน เช่น บุคลากร งบประมาณ จำนวนสำนักงานสาขาภูมิภาค การให้บริการส่งเสริมสนับสนุนด้านต่าง ๆ จึงไม่อาจสนองตอบได้ทั่วถึงและเพียงพอ
ปัญหาข้อจำกัดในการรับรู้ข่าวสารข้อมูล เนื่องจากปัญหาและข้อจำกัดต่าง ๆ ข้างต้น ธุรกิจขนาดย่อมโดยทั่วไปจึงค่อนข้างมีจุดอ่อนในการรับรู้ข่าวสารด้านต่าง ๆ เช่น นโยบายและมาตรฐานการของรัฐ ข้อมูลข่าวสารด้านการตลาด เป็นต้น
มีการจำแนกกิจการของ SMEs เอาไว้อย่างไร
เกณฑ์ที่ใช้ในการจำแนกกิจการของ SMEs ว่าจะเป็นวิสาหกิจขนาดกลางหรือขนาดย่อม คือ

มูลค่าชั้นสูงของสินทรัพย์ถาวร
จำนวนการจ้างงาน
การจำแนกประเภทของ SMEs โดยใช้มูลค่าชั้นสูงของสินทรัพย์ถาวร สามารถจำแนกได้ดังนี้

การผลิต : วิสาหกิจขนาดกลางไม่เกิน 200 ล้านบาท วิสาหกิจขนาดเล็กไม่เกิน 50 ล้านบาท
การบริการ : วิสาหกิจขนาดกลางไม่เกิน 200 ล้านบาท วิสาหกิจขนาดเล็กไม่เกิน 50 ล้านบาท
การค้า
3.1 ค้าส่ง : วิสาหกิจขนาดกลางไม่เกิน 100 ล้านบาท วิสาหกิจขนาดเล็กไม่เกิน 50 ล้านบาท
3.2 ค้าปลีก : วิสาหกิจขนาดกลางไม่เกิน 60 ล้านบาท วิสาหกิจขนาดเล็กไม่เกิน 30 ล้านบาท
การจำแนกประเภทของ SMEs โดยใช้เกณฑ์จากจำนวนการจ้างงาน สามารถจำแนกได้ดังนี้

การผลิต : วิสาหกิจขนาดกลางไม่เกิน 200 คน วิสาหกิจขนาดเล็กไม่เกิน 50 คน
การบริการ : วิสาหกิจขนาดกลางไม่เกิน 200 คน วิสาหกิจขนาดเล็กไม่เกิน 50 คน
การค้า
3.1 ค้าส่ง : วิสาหกิจขนาดกลางไม่เกิน 50 คน วิสาหกิจขนาดเล็กไม่เกิน 25 คน
3.2 ค้าปลีก : วิสาหกิจขนาดกลางไม่เกิน 30 คน วิสาหกิจขนาดเล็กไม่เกิน 15 คน

ขนาดย่อม ขนาดกลาง
จำนวน (คน) สินทรัพย์ถาวร
(ล้านบาท) จำนวน (คน) สินทรัพย์ถาวร
(ล้านบาท)
กิจการการผลิต ไม่เกิน 50 ไม่เกิน 50 51-200 เกินกว่า 50-200
กิจการการบริการ ไม่เกิน 50 ไม่เกิน 50 51-200 เกินกว่า 50-200
กิจการค้าส่ง ไม่เกิน 25 ไม่เกิน 50 26-50 เกินกว่า 50-100
กิจการค้าปลีก ไม่เกิน 15 ไม่เกิน 30 16-30 เกินกว่า 30-60
 

ประเภทของธุรกิจขนาดย่อม
การประกอบธุรกิจขนาดย่อม (SMEs) นั้นมีอยู่มากมายหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต การค้า และการบริการ รวมถึงธุรกิจแฟรนไชส์ และ OTOP ด้วย ซึ่งอาจเป็นธุรกิจในภาคการเกษตร หรือนอกภาคเกษตร หรือในภาคบริการ ปัจจัยสำคัญในการเลือกประเภทธุรกิจนั้นขึ้นอยู่กับทักษะของผู้ประกอบการที่สามารถขับเคลื่อนธุรกิจ (Unique Skill Driven Product) โดยมีกระบวนการผลิตที่ยืดหยุ่นสอดคล้องกับความต้องการของตลาด และการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้เป็นธุรกิจระหว่างประเทศได้ต่อไป ซึ่งสามารถแบ่งประเภทธุรกิจขนาดย่อมได้ดังนี้

การผลิต (Product Sector) ครอบคลุมการผลิตในภาคเกษตรกรรม (Agricultural Processing) ภาคอุตสาหกรรม (Manufacturing) และเหมืองแร่ (Mining)
ธุรกิจการค้าส่ง (Wholesaling)
การค้า (Trading Sector)
การบริการ (Service Sector)
ธุรกิจการผลิต
ธุรกิจการผลิต (Manufacturing) หมายถึง การแปรสภาพปัจจัยการผลิตโดยอาศัยกระบวนการผลิตในการแปลงสภาพวัตถุดิบให้เป็นสินค้า หรือบริการ ตามความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งมีสินค้าจำนวนมากที่ผลิตขึ้นและจำหน่ายเองโดยใช้เครื่องจักร แรงงานและฝีมือในการแปรรูป

ปัจจัยในการผลิต หน้าที่สำคัญของผู้ประกอบการในการผลิตสินค้าหรือบริการ จำเป็นต้องแสวงหาปัจจัยการผลิต (Factor of Production)

การสั่งซื้อวัตถุดิบ

กำหนดรายละเอียดของสินค้า
สำรวจตลาดในเรื่องแหล่งผลิต ราคา คุณภาพของสินค้า
เจรจาต่อรองในเรื่องของราคา จำนวน และประเด็นต่าง ๆ
สั่งซื้อโดยออกใบสั่งซื้อสินค้า เป็นหลักฐานในการติดต่อ
ขั้นตอนการเก็บรักษา ผู้รับผิดชอบจะต้องเก็บรักษาวัตถุดิบ วัสดุ และสินค้าในสถานที่ที่มีสภาพเหมาะสมทั้งอุณหภูมิและความชื้นในสถานที่จัดเก็บ ลักษณะการจัดเก็บวางสินค้า ขั้นตอนการดำเนินการผลิต วิธีการผลิตขึ้นอยู่กับลักษณะของผลผลิต

ธุรกิจการค้าส่ง
การค้าส่ง (Wholesaling) หมายถึง กิจกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าหรือบริการให้กับองค์กรที่ซื้อไปเพื่อการขายต่อหรือเพื่อใช้ในทางธุรกิจ (Kotler, 1997) หรือหมายถึงกิจกรรมทั้งหมดของบุคคลหรือองค์กรที่ขายสินค้าให้กับพ่อค้าปลีกและพ่อค้าคนอื่นๆ และ/หรือขายให้กับผู้ใช้ทางอุตสาหกรรม ผู้ใช้ที่เป็นสถาบันและผู้ใช้ทางธุรกิจ แต่ไม่ได้ขายสินค้าในปริมาณที่มากให้กับผู้บริโภคคนสุดท้าย (Stern, El-Ansary and Coughlan, 1996)

องค์ประกอบของการค้าส่งสรุปได้ดังนี้

จำทำหน้าที่เป็นผู้ขายต่อให้ลูกค้า โดยมีปริมาณการสั่งซื้อแต่ละครั้งมีจำนวนมาก
ลูกค้าของสถาบันการค้าส่ง คือ องค์กรที่ซื้อสินค้าไปเพื่อขายต่อหรือใช้ในการผลิต หรือให้บริการ หรือใช้ในการดำเนินงานของกิจการ เช่น พ่อค้าส่ง พ่อค้าปลีก ผู้ใช้ทางอุตสาหกรรม ผู้ใช้ที่เป็นสถาบัน และผู้ใช้ทางธุรกิจต่าง ๆ
ไม่ได้มุ่งขายสินค้าในปริมาณที่มากให้กับกลุ่มผู้บริโภคคนสุดท้าย
ประเภทของการค้าส่ง

พ่อค้าส่งที่เป็นพ่อค้า (Merchant Wholesalers) เป็นพ่อค้าส่งที่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของสินค้าที่ตนเองครอบครองอยู่ โดยจะซื้อสินค้าจากผู้ผลิตหรือพ่อค้าส่งรายอื่น ๆ และมีสินค้ามากมายหลายชนิด เพื่อนำมาจำหน่ายให้กับผู้ซื้อที่ซื้อจำนวนมาก การให้บริการแก่ลูกค้าแต่ลพประเภทจะแตกต่างกันไป ซึ่งพ่อค้าส่งที่เป็นพ่อค้าแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.1 พ่อค้าส่งที่ให้บริการครบถ้วน (Full Service Wholesalers)
1.2 พ่อค้าส่งที่ให้บริการจำกัด (Limited Service Wholesalers)
นายหน้าและตัวแทน (Brokers and Agents)
นายหน้าและตัวแทนเป็นคนกลางที่ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย แต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในสินค้าที่ตนดำเนินการ แบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
2.1 นายหน้า (Brokers)
2.2 ตัวแทน (Agents)
สาขาและสำนักขายของผู้ผลิต (Manufacturers Sales Branches and Offices)
ผู้ผลิตจะตั้งสาขาหรือสำนักงานขายขึ้นมาเองในแต่ละท้องที่ เพื่อจัดจำหน่ายสินค้าให้ผู้ผลิต โดยซื้อสินค้าจากผู้ผลิตโดยตรง สาขาและสำนักงานขาย อาจจะเป็นการค้าส่งหรือการค้าปลีกก็ได้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
3.1 สาขาขายของผู้ผลิตที่มีสินค้า (Manufacturers’Sales Branches with Stocks)
3.2 สำนักงานขายของผู้ผลิตที่ไม่มีสินค้า (Manufacturers Sales Offices Without Stocks)
พ่อค้าส่งประเภทอื่น ๆ (Miscellaneous Wholesalers)
4.1 พ่อค้าส่งน้ำมันเชื้อเพลิง คลังจ่าย น้ำมันเชื้อเพลิงและแก๊สปิโตรเลียมเหลว (Petroleum Bulk Terminal and LPG Facilities)
4.2 พ่อค้าส่งรวบรวมสินค้าทางการเกษตร (Assemblers of Farm)
ธุรกิจการค้าปลีก
การค้าปลีก (Retailing) หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภคคนสุดท้ายเพื่อนำไปใช้ส่วนตัว (Stern, El-Ansary and Coughlan, 1996) หรือหมายถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าหรือบริการโดยตรงแก่ผู้บริโภคคนสุดท้าย เพื่อการใช้ส่วนตัวและไม่ใช่เป็นการใช้เพื่อธุรกิจ (Kotler, 1997)

ประเภทของการค้าปลีก

การค้าปลีกจะแบ่งออกเป็นกี่ประเภทนั้นขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาแบ่งประเภท เนื่องจากร้านค้าปลีกหนึ่ง ๆ อาจจะถูกจัดกลุ่มให้เข้าอยู่หลายกลุ่ม หลายประเภท เช่น ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ซึ่งจัดอยู่ในร้านค้าปลีกแบบร้านสะดวกซื้อก็ได้ หรือเป็นร้านแบบลูกโซ่ก็ได้ หรือเป็นร้านค้าปลีกแบบแฟรนไชส์ก็ได้ เป็นต้น ในที่นี้จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

การค้าปลีกแบบมีร้านค้า (Stores Rrtailing) ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าหรือบริการได้จากร้านค้าปลีกทั่วไป ซึ่งแบ่งออกได้ 11 ประเภท ดังนี้
ร้านค้าขายสินค้าเฉพาะอย่าง (Specialty Store)
ห้างสรรพสินค้า (Department Store)
ศูนย์การค้าครบวงจร (Shopping Center or Shopping Complex)
ร้านสรรพาหาร (Supermarket)
ร้านค้าสะดวกซื้อ (Convenience Store)
ร้านขายสินค้าลดราคา (Discount Store)
พ่อค้าปลีกขายสินค้าราคาถูก (Off-Price Retailer)
ร้านค้าขายสินค้าราคาถูก (Superstore)
ร้านค้าที่ใช้แคตตาล็อก (Catalog showroom)
1.10 มินิมาร์ตหรือร้านสรรพาหารขนาดย่อม (Minimart or Superrette)
1.11 ร้านขายของชำหรือโชห่วย (Grocery Store or Mom & Pop Store or Provincial Store)
การค้าปลีกแบบไม่มีร้านค้า (Non-Stores Retailing) ในปัจจุบันได้รับความนิยมมากขึ้น ประกอบด้วย .

การขายตรง (Direct Selling)
การตลาดทางตรง (Direct Marketing)
การขายโดยใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ (Automatic Vending Machine)
ธุรกิจที่ให้บริการในการซื้อ (Buying Service)
องค์กรที่ทำการค้าปลีก (Retail Organizations) เป็นธุรกิจที่ทำการค้าปลีกโดยขายสินค้าให้กับผู้บริโภค ซึ่งเกิดจากอำนาจการซื้อ การยอมรับในตราสินค้า พนักงานขายจะได้รับการเข้าฝึกอบรมอย่างดี ประกอบด้วย

ร้านค้าปลีกแบบลูกโซ่จำกัด (Corporate Chain Store)
ร้านค้าปลีกแบบลูกโซ่สมัครใจ (Voluntary Chain Store)
สหกรณ์พ่อค้าปลีก (Retailer Cooperative)
สหกรณ์ผู้บริโภค (Consumer Cooperative)
ร้านค้าปลีกที่ได้รับสิทธิบัตร (Franchise Organization)
การร่วมมือกันบริหารสินค้า (Merchandising Conglomerate)
ธุรกิจบริการ
ธุรกิจบริการ (Service) หมายถึง ธุรกิจที่ใช้พนักงานบริการตอบสนองความต้องการของลูกค้าธุรกิจขนาดย่อม ที่เป็นธุรกิจให้บริการที่มีอยู่หลายชนิด เพราะเป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนไม่สูงมากนัก แต่ต้องอาศัยแรงงานและฝีมือของบุคลากร เช่น ร้านตัดผม ร้านตัดเสื้อผ้า ร้านซักรีด สำนักงานบัญชีและกฎหมาย ร้านเสริมสวย เป็นต้น

ปัญหาการดำเนินงานของธุรกิจบริการ

ขาดข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับผู้ประกอบการ เนื่องจากยังไม่มีหน่วยงานที่ดูแลโดยเฉพาะ
เนื่องจากธุรกิจบริการมีความหลากหลายสูง ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงมีความหลากหลายและเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไข ทั้งที่มีหน่วยงานเกี่ยวข้องมาก แต่ขาดการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด
แนวทางการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจบริการ

กลุ่มธุรกิจเป้าหมาย ประเภทกลุ่มธุรกิจบริการที่ควรได้รับการส่งเสริมและพัฒนามีดังนี้

กลุ่มธุรกิจบริการที่กำลังเติบโต
กลุ่มธุรกิจบริการที่มีศักยภาพและมีความพร้อมสูง
กลุ่มธุรกิจบริการพื้นฐานที่ควรได้รับการดูแล
กรอบแนวคิดการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจบริการ เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการและส่งเสริมการบริการที่มีมาตรฐาน โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้กำหนดภารกิจหลัก ดังนี้

การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ
เพิ่มประสิทธิภาพระบบการจัดการ
ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการประกอบธุรกิจ
ส่งเสริมการพัฒนาระบบการตลาดสมัยใหม่
ส่งเสริมการเพิ่มช่องทางการตลาด
สร้างค่านิยมในการสนับสนุนบริการไทย
ส่งเสริมการรวมกลุ่มและเชื่อมโยงทางธุรกิจบริการ



ประมวณความคิดของนักคิดระดับโลก

• ประมวลความคิดของนักคิดระดับโลก
• 27-07-2020

• จะขอกล่าวถึงวจีพจน์อมตะของนักปราชญ์และนักคิดระดับโลก ที่น่าสนใจและสามารถเตือนสติเราได้เป็นอย่างดี ดังนี้
• 1. ลีโอนาโด ดาวินชี (LEONARDO DA VINCI)
ลีโอนาโด ดาวินชี เมื่อกล่าวถึงชื่อนี้น้อยคนนักที่ไม่รู้จัก เพราะท่านผู้นี้ มีความสามารถอย่างล้นเหลือจนเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วโลก เช่น ท่านเป็นมหาปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ จิตรกร นักปั้น นักพฤกษศาสตร์ และบิดาแห่งศิลปะทางด้านกายวิภาคศาสตร์ (GROSS ANATOMY) เป็นต้น สิ่งที่ดาวินชี่ได้ถ่ายทอดไว้ให้แก่ชาวโลก มีมากมายนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ปรัชญาในการดำรงชีวิตที่เป็นอมตะสามารถนำไป ประยุกต์ใช้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่

• หลักปรัชญาที่สำคัญที่นำเสนอมาจากหนังสือเรื่อง HOW TO THINK LIKE LEONARDO DA VINCI แต่งโดย MICHAEL GELB มีใจความสำคัญ ดังนี้

• "คุณมองแต่คุณไม่เห็น (YOU LOOK BUT YOU DON'T SEE)
• คุณฟังแต่คุณไม่ได้ยิน (YOU LISTEN BUT YOU DON'T HEAR)
• คุณสัมผัสแต่คุณไม่รู้สึก (YOU TOUCH BUT YOU DON'T FEEL)
• คุณพูดแต่ไม่ได้คิดก่อนที่จะพูด (YOU SPEAK BUT YOU DON'T THINK)"

• กล่าวอย่างง่าย ๆ คือมนุษย์ส่วนใหญ่มักทำอะไรโดยขาดสติ เหม่อลอย ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนรู้ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น ลีโอนาโด ดาวินชี จึงแนะนำวิธีฝึกสติอย่างง่าย ๆ คือ เมื่อมองสิ่งใดก็ตามให้ตั้งใจมอง ฟังให้ตั้งใจฟัง สัมผัสสิ่งใดให้รู้สึกว่าสัมผัสอะไรอยู่ และก่อนจะพูดสิ่งใดให้คิดพิจารณาก่อนทุกครั้ง และให้พูดทีละคำฟังทีละเสียง
• การมีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา ทำให้ความสามารถในการเรียนรู้รวดเร็ว ว่องไว และเฉียบคม สามารถรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไร ที่ไหน อย่างไร และเพื่ออะไร สามารถเลือกเส้นทางชีวิตของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีชีวิตเป็นของตนเอง นอกจากนั้น การตั้งใจทำในทุกอิริยาบถในปัจจุบัน จะเป็นการตัดความคิดที่ฟุ้งซ่าน ความคิดที่เศร้าหมองภายในจิตใจ และความคิดในอดีตทั้งหลาย ออกไปได้อย่างสิ้นเชิง เมื่อจิตว่างจากความคิดทางต่ำจิตจึงจะเบา ความคิดที่สร้างสรรค์จะผุดขึ้นมามากมาย เมื่อคิดดี กิริยาก็งดงาม คำพูดก็ไพเราะเมื่อนั้นสิ่งที่ดีก็จะตามมา

• "เหล็กที่ปล่อยไว้จะขึ้นสนิม น้ำที่ไม่มีการไหลเวียนจะเน่า ความเย็นที่ไม่มีการหมุนเวียนจะกลายเป็นน้ำแข็ง ฉันใดฉันนั้นสมองของมนุษย์หากปราศจากการครุ่นคิดใด ๆ ก็จะทื่อและเขลาได้ในที่สุด"


• มนุษย์ที่ฉลาดจะต้องมีการประมวล และไตร่ตรองความคิด และการกระทำของตนเองอยู่ตลอดเวลา เมื่อเจอะเจอปัญหาเฉพาะหน้า จึงจะสามารถแก้ไขได้อย่างทันท่วงที การคิดที่ถูกวิธีคือ คิดเพียงเรื่องเดียว แต่ครบทุกด้าน และลงลึกจนเข้าใจเรื่องนั้นอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่การคิดหลาย ๆ เรื่องในเวลาเดียวกันคือ การฟุ้งซ่านซึ่งไม่ก่อประโยชน์และเป็นการเสียเวลาเปล่า นอกจากนั้น เรื่องที่จะคิดควรเป็นเรื่องที่สร้างสรรค์เกิดประโยชน์ ทำให้เรามีความสุขขึ้นทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น สิ่งไหนที่ไร้สาระ หรือทำให้จิตใจเศร้าหมองขุ่นมัวให้ตัดทิ้งโดยการเปลี่ยนเรื่องคิดทันที
• 2. แจ็ค เวลช์ (JACK WELCH)

• JACK WELCH อดีต CEO ของบริษัทจีอีที่มีค่าตัวสูงที่สุดในโลก สุดยอดแนวคิดของ JACK WELCH นำมาจากหนังสือเรื่อง CONTROL THE DESTINY OR SOMEONE ELSE WILL คือการรู้จักกำหนดชะตาชีวิตของตนเองก่อนที่คนอื่นจะเข้ามาบงการชีวิตคุณ และอีกเล่มหนึ่งคือ JACK STRAIGHT FROM THE GUT ซึ่งมีประเด็นสำคัญ ได้แก่

• "LIVE WITH THE PRESENT REALITY AS IT IS, NOT THE KIND OF REALITY THAT USED TO BE IN THE PAST OR THE REALITY THAT YOU WANT IT TO BE"

• "จงอยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบันที่คุณกำลังประสบอยู่ ไม่ใช่ความเป็นจริงที่มันเคยเป็น หรือความเป็นจริง ที่คุณอยากให้มันเป็น"

• กล่าวโดยสรุปคือ ให้อยู่กับปัจจุบันนั่นเอง ธรรมชาติของมนุษย์มีความยึดมั่นถือมั่น ยึดติดกับความสุขในอดีต และคิดว่ามันจะต้องเป็นเช่นนั้น ดังเดิมตลอดไปแต่เมื่อปัจจุบันไม่เป็นอย่างที่หวังก็เศร้าโศกเสียใจ หรือติดกับความทุกข์ในอดีตจนไม่กล้าที่จะทำสิ่งใดต่อไปในอนาคต ชีวิตก็จมปรักอยู่กับที่ไม่เจริญก้าวหน้า JACK WELCH จึงเสนอแนวคิดในการดำเนินชีวิตเพื่อไปสู่ความสำเร็จ คือการอยู่กับปัจจุบันทิ้งอดีต และทำวันนี้ให้ดีที่สุด
• 3. ขงจื๊อ (CONFUCIUS)

• ขงจื๊อ นักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ชาวจีนผู้มีคนให้ความเคารพศรัทธา และยึดถือแนวทางคำสอนกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ได้สอนหลักในการคบคนไว้ ดังนี้

• "การคบคน ต้องเลือกคบคนที่มีคุณธรรมสูงกว่าหรือเท่า ๆ กับเรา"



• เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องอาศัยอยู่ร่วมกับผู้อื่น ดังนั้น ในชีวิตประจำวันคำพูด ความคิด การกระทำ ความรุ้สึก และอารมณ์ของคน รอบข้างจะกระทบต่อเราอยู่ตลอดเวลาอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น หากเราคบหาสมาคมกับคนที่ขาดคุณธรรม จะทำให้จิตใจของเรา ตกต่ำตามไปด้วย ดังนั้น ถ้าอยากมีชีวิตที่ดี มีความสุข ประสบความสำเร็จ จะต้องเลือกคบคนดีมีคุณธรรมนั่นเอง
• 4. สก็อต เพ็ค (SCOTT PECK)

• แนวคิดของ สก็อต เพ็ค นำมาจากหนังสือเรื่อง THE ROAD LESS TRAVELED ได้แก่

• "LIFE IS DIFFICULT" –ชีวิตเป็นของยากมันไม่ง่ายอย่างที่เราคิดจึงไม่ควรประมาทหรือล้อเล่นกับชีวิต

• การประสบกับปัญหาและอุปสรรคมากมายในชีวิตนับเป็นเรื่องธรรมดา ดั่งเมฆบนท้องฟ้าดั่งคลื่นในมหาสมุทรมันมาแล้วมันก็ไปไม่มีวันหยุดยั้ง หากเรายอมรับสัจธรรมข้อนี้ได้เมื่อเจอปัญหาเราจะไม่สะทกสะท้าน ไม่มีความเครียดเลยแม้แต่น้อยเพราะปัญหามันเกิดขึ้นได้ก็ย่อมหมดไปได้ แต่ที่มนุษย์ยังต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ทุกวันนี้ เพราะยึดมั่นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องเหมือนเดิมโดยลืมไปว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่จีรังและเหมือนเดิมตลอดไป
• 5. นโปเลียน ฮิลส์ (NAPOLEON HILLS)

• "ท่านทำได้ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้"

• การเชื่อมั่นในตนเองในที่นี้ไม่ใช่การหลอกตัวเองแต่เป็นการตั้งหลักในจิตใจว่า เราจะต้องทำสิ่งเหล่านั้นให้จงได้ เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน พอที่จะเป็นไปได้ และท้าทายความสามารถในระดับหนึ่งรวมกับขั้นตอนและกลยุทธต่าง ๆ ที่จะต้องทำและแผนสำรอง เพื่อป้องกัน ความผิดพลาด ที่อาจจะเกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ความเชื่อมั่นว่าเราสามารถทำได้ เมื่อนั้นจิตจะรวมเป็นหนึ่งกอปรกับ การย้ำคิดย้ำทำในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างจริงจัง จะทำให้เกิดสติปัญญาที่จะให้เป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นจริง

• "ว่าวจะลอยสูงได้ต้องมีลมมาปะทะ"

• ผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการ ต้องรับได้ในทุกสถานการณ์ และเมื่อเจอปัญหาต้องนิ่งสงบใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหาอย่างสุดความสามารถ
• 6. เดลล์ ไคน์เนกี้ (DALE CARNEGIE)

• แนวคิดของ เดลล์ ไคน์เนกี้ นำมาจากหนังสือเรื่อง HOW TO WIN FRIENDS AND INFLUENCE PEOPLE และ HOW TO STOP WORRYING AND START LIVING คือ

• "อยากได้น้ำผึ้งอย่าแตะรังผึ้ง"

• เวลาจะขอร้องใครควรพูดถึง ผลประโยชน์ของอีกฝ่ายก่อน เช่น นักการขายอยากได้ยอดขายก็ต้องเสนอให้ลูกค้ารู้ว่า เขาจะได้ประโยชน์อะไรจากการซื้อสินค้าและบริการของเรา เป็นต้น

• "อย่าเลื่อยขี้เลื่อย"

• คนที่จมอยู่กับเรื่องราวในอดีตชีวิตย่อมไม่ก้าวหน้า ความผิดพลาดในอดีตมีไว้เพื่อให้สำนึกและเรียนรู้ อดีตมันผ่านไปแล้วแต่ชีวิตต้องก้าวต่อไป จงทำบทบาทและหน้าที่ของตนเองในปัจจุบันให้ดีที่สุด
• 7. ชอง ปอล ซาร์ท (JEAN PAUL SARTRE)

• "นรกคือสายตาของผู้อื่น—THE HELL IS OTHERS"

• คนที่ไม่มีจุดยืนและพยายามทำตามสิ่งที่ผู้อื่น คาดหวังอยู่ตลอดเวลา จะไม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่เคยรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง คอยอิจฉาริษยาและเปรียบเทียบกับผู้อื่นอยู่ร่ำไป จนลืมไปว่าจริง ๆ แล้วเราต้องการอะไรในชีวิต ดังนั้น จึงไม่ควรทำตามคนอื่นมากนัก ควรมีหลักเป็นของตัวเองด้วย
• 8. สตีเว่น โควี่ (STEVEN COVEY)

• แนวคิดนี้นำมาจากหนังสือเรื่อง THE 7 HABITS OF HIGHLY EFFECTIVE PEOPLE ได้แก่

• นิสัยรู้และเลือก (BE PROACTIVE) --คือการมีสติรู้และเลือกอยู่ตลอดเวลา รู้ตัวว่าขณะนี้ตนเองกำลังทำอะไรอยู่ และจะเกิดผลอะไรตามมา
• สร้างเป้าหมายในชีวิตเป็นภาพจารึกไว้ในจิตใจ (BEGIN WITH THE END IN MIND)--คือการมีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอน
• ทำสิ่งสำคัญที่ก่อน (PUT FIRST THINGS FIRST)--คือการเลือกทำในสิ่งที่นำพาเราไปสู่เป้าหมายก่อนเป็นอันดับแรก
• รู้จักแบ่งผลปันประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นด้วย (THINK WIN/WIN) เลิกคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง
• พยายามเข้าใจผู้อื่นก่อน แล้วค่อยทำให้เขาเข้าใจเราทีหลัง (SEEK FIRST TO UNDERSTAND, AND THEN TO BE UNDERSTOOD) ในที่นี้คือการเป็นผู้ฟังที่ดีและรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ใช่สักแต่จะพูดสิ่งที่เราอยากจะพูดอย่างเดียว โดยไม่รู้ว่าผู้ฟังคิดอย่างไรหรือรู้สึกอย่างไร การพูดมากเกินไปไร้สาระนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้วยังทำให้จิตเสื่อมอีกด้วย ดังนั้น จึงควรพูดเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น
• สร้างทีมเวิร์ค (SYNERGIZE) อย่าแสดงว่าตนเองดีกว่าหรือเหนือกว่าผู้อื่น เพื่อให้เข้าสายตาเจ้านาย เพราะการกระทำดังกล่าว เป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว และหากเราเป็นคนเก่งจริงดีจริง ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องอวดใคร เพราะอย่างไรความสามารถ และความดีย่อมฉายแววออกมาอยู่วันยังค่ำ
• เพิ่มพลังชีวิต (SHARPEN THE SAW) คือการรู้จักดูแลสภาพร่างกายและจิตใจของตนเองให้แข็งแรงและกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอ
• 9. มาร์ติน เซลิกแมน (MARTIN SALIGMAN)

• แนวคิดนี้นำมาจากหนังสือเรื่อง LEARNED OPTIMISM ได้แก่

• ลักษณะของบุคคลที่มองโลกในแง่ร้าย (NEGATIVE-TYPED PERSON) มีลักษณะ ดังนี
• คนที่มองว่าปัญหาเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ ต้องยอมทนรับสภาพอย่างเดียว
• ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เช่น เจอปัญหานิดเดียวก็ท้อแท้เลิกทำไปเลย
• มีอาการเศร้าสร้อย สลดหดหู่ หงุดหงิด ดวงตามีแต่ความอิดโรยและไม่พอใจ

ที่มา : https://www.novabizz.com/NovaAce/Intelligence/Thinking_World.htm

พฤติกรรมมนุษย์ (Human Behaviour)

พฤติกรรมมนุษย์ (Human Behaviour ) พฤติกรรม หมายถึง กิริยาอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์หรือที่มนุษย์ได้แสดง หรือปฏิกิริยาที่เกิ...