สวัสดีครับ
ผมไม่รู้จะเขียนอะไร แค่คิดอยากเขียน
จะว่าได้ว่าเป็นวันแห่งความซวยมาเยือนเลยก็ว่าได้เพราะเป็นสิ้นเดือนพอดี ถ้าว่าสิ้นเดือนคุณคงต้องรู้แน่ว่ามนุษย์เงินเดือนเป็นเช่นไร แต่ผมไม่ใช่มนุษย์เงินเดือน เนื่องจากผมได้ลาออกจากงานประจำ และ อยากมาลองใช้ชีวิตอิสระบ้าง เพราะการที่ผมถูกปลูกฝังจากครอบครัวว่าต้องเข้าหลักสูตรการเรียน ตามปกติตามรัฐบาลตาม ความเชื่อของพ่อแม่บอกว่าจะต้อง เรียนให้เก่งๆได้เกรดเฉลี่ยสูงๆเมื่อจบปริญญาจะทำให้เป็นเจ้าคนนายคน มีชีวิตที่ดีมั่นคงมีครอบครัวที่อบอุ่น ซึ่งผมก็เชื่อมาตลอดอย่างนั้น จนถึงอายุ 26 ปี ผมคิดว่ามันไม่ใช่เส้นทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จได้ แต่ยังมีเส้นทางอีกมากมาย ที่เราเลือกจะเดินไปหาความสำเร็จได้เช่นกัน กว่าจะมาถึงจุดนี้ผมได้ทำงาน หลายๆที่ เริ่มตั้งแต่งานก่อสร้างมาจนถึง ล่าสุดคือพนักงานห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
ผมพบว่า การทำงานก็ไม่ได้แตกต่างจาก คนในสังคมมากมายใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปที่ต้องแข่งกับเวลา เร่งรีบอาบน้ำแต่เช้า ข้าวไม่ได้กิน งานสำคัญที่สุดคือต้องไปให้ถึงที่ทำงานให้เร็วที่สุด แต่เมื่ออุปสรรคที่รุมเร้าทางด้านการเงินรัดตัว จึงหันกลับมามองตัวเองจริงๆ หากผมยังเป็นเช่นนี้ ชีวิตคงดิ่งลงเหวไม่มีอะไรดีขึ้นแน่นอน
ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำยังไงถึงจะหลุดพ้นจากวงจร ของการเป็นหนี้ได้ ผมจึงเริ่มศึกษาหาหนังสือมาอ่าน หนังสือเล่มแรกที่ผมซื้อคือ คิดแบบยิวทําแบบญี่ปุ่น ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่า หนังสือเล่มนี้ มีหลักการสอนยังไงรู้แค่ว่า ไปเปิดดูในอินเตอร์เน็ตแล้วเขาบอกว่าเป็นหนังสือที่ดีผมก็เลยซื้อมาอ่าน แต่ใจผมอยากได้คือ พ่อรวยสอนลูก แต่ช่วงเวลานั้นที่ผมไปซื้อพอดีหนังสือในร้านหมดผมก็เลยได้เล่มนี้มา
สิ่งที่ผมได้จากหนังสือเล่มนี้ก็บอกว่า
"ถ้าอยากเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คุณจะขาดองค์ประกอบ 3 อย่างต่อไปนี้ไม่ได้เลย อย่างแรกก็คือตั้งใจว่าจะทำอะไรแล้วก็ต้องวางแผนเพื่อทำให้สำเร็จตามเป้าหมายอย่างที่สองคือการลงมือทำตามแผนที่วางไว้ อย่างสุดท้ายคือ ต้องมีใจสู้ที่จะทำมันให้สำเร็จโดยไม่มัวมานั่งกลุ้มว่าจะทำได้ดีหรือไม่ดีหรือเปล่า"
ถ้าพูดถึงเรื่องนักธุรกิจ ในฐานะผมตอนนี้คงไม่มีความรู้ความสามารถพอที่จะก้าวไปสู่คำว่านักธุรกิจได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบจากบทความในหนังสือและชีวิตจริงคิดว่าอะไรกันที่จะพาผมไปถึงจุดนั้นได้
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ก็คือหนังสือ มันคือทางออกที่น่าจะดีที่สุดที่จะนำไปสู่การมีอิสรภาพทางการเงิน และคติประจำใจผม ที่ผมใช้ ติดตัวมาตลอดคือ จงเชื่อและศัทธาความพยายาม
คุณลองมองดูรอบๆกายรอบๆสิ่งแวดล้อมที่คุณอยู่ เช่น เพื่อนที่ทำงานไม่ว่าจะเป็น ทั้งรุ่นน้องรุ่นพี่ที่คุณรู้จัก คุณลองคิดดูว่าพวกเขา มีชีวิตที่ดีขึ้นไปมากกว่าที่เป็นอยู่เท่าไหร่ในแต่ละเดือนแต่ละปี ซึ่ง ความจริง เป็นอย่างหนังสือบอกไว้ว่า ไม่ต่างอะไรจาก หนูถีบจักร หมายความว่าการหมุนเวียนอยู่ในวงจรชีวิตเดิมๆไม่มีอะไรดีขึ้น
เมื่อเวลาที่คนเราพบอุปสรรคสิ่งที่เป็นตัวตัดสินมากคุณจะข้ามมันไปได้หรือเปล่า มันคือความคิดที่สร้างสรรค์ที่มันยึดติดกับกรอบที่ยึดติดกับชีวิตประจำวันที่คุณเป็น
คุณต้องเปลี่ยน เปลี่ยนเส้นทางเพื่อพิสูจน์ตัวตน ให้ได้ว่า ทำไมคนที่เขาเป็นนักธุรกิจเขาถึงเป็นได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้หละในเมื่อ เขาเป็นคนเป็นมนุษย์เดินดินเช่นเรา เขาไม่ได้เป็นเทวดาหรือมีพลังวิเศษอะไรจากไหน แล้วถามว่าเขาทำยังไงถึงมีอิสระทางการเงินได้หละ? เป็นแบบไหน หากเราทำตามเขา เราจะเป็นเหมือนเขาได้ไหม ถ้าเป็นไปไม่ได้แสดงว่า เราไม่มีศักยภาพพอ แต่ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำไม่ได้เพราะคุณมีสองมือสองเท้าร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ หายใจได้
ดังนั้น ก็ไม่สมควรที่จะไม่ลอง เกิดเป็นคนต้องลอง ไม่ลองไม่รู้ มัวแต่ดูเมื่อไหร่จะได้ทำ ถ้าไม่ทำ คำว่า อิสรภาพทางการเงินคงเป็นแค่ความฝันลมๆแล้งๆสำหรับคุณตลอดไป แค่นั้นจริงๆหรือ
ชีวิตคุณไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นลูกน้องใคร ชีวิตคุณไม่ได้เกิดมาเพื่อจะโดนเจ้านายด่า แต่คุณควรเป็นหัวหน้าผู้นำเส้นทางของตัวเอง คุณต้องเป็นอิสระจากชีวิตเดิมๆห่วยๆแบบนั้น จงก้าวออกมากล้าลงมือทำผมเชื่อแน่นอนมันจะนำพาคุณไปที่ที่ดีกว่าที่คุณเป็นอยู่อย่างแน่นอน
ชีวิตคุณ คุณเลือกได้ อย่ายอมแพ้
ผู้เขียน : ASAWINLHAOSRI
02-08-2020
ที่มา:
http://asawin002.blogspot.com/2020/08/blog-post.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น